top of page

Yuan Yang, China

Updated: Jan 8, 2020

เดินทาง ปลายกุมภาพันธ์ 2019 ระยะเวลา 5 วัน

หยวนหยาง นาขั้นบันไดที่ใหญ่ที่สุดในโลก

จีนไม่ได้เป็นประเทศแรกๆในหัวที่จะไปด้วยความที่คนเยอะวุ่นวาย แต่พอเห็นลายเส้นบนนาขั้นบันไดของหยวนหยางรู้สึกทึ่ง และยิ่งรู้ว่ามันเป็นการทำนาแบบขยายที่นาไปเรื่อยๆ กว่า 1,300ปี จนใหญ่โตครอบคลุมหลายหุบเขากว่า 2,200 ตารางกิโลเมตร และถูกขั้นทะเบียนโดย UNESCO เป็น World Heritage Site ยิ่งอยากไปเห็นด้วยตาตัวเอง

แสงยามเช้าต้องลงบนนาขั้นบันไดหยวนหยาง เป็นสีชมพูสวยงาม

หยวนหยางตั้งอยู่ในมณฑลยูนาน บนระดับความสูง 1,570 เมตร สูงเกือบเท่าดอยลังกาน้อยซึ่งสูงเป็นอันดับ 10 ในประเทศไทย ประชากร 95% เป็นเกษตรกร และ 88% เป็นชนกลุ่มน้อย โดยส่วนใหญ่เป็นชาวฮานิ Hani การทำนาแบบขยายที่นาไปเรื่อยๆ กว่า 1,300ปี ทำให้พื้นที่นาขั้นบันไดใหญ่โตครอบคลุมหลายหุบเขา กินพื้นที่กว่า 2,200 ตารางกิโลเมตร ไล่ความสูงได้ถึง 3,700ขั้น เวลามองดูจะเห็นนาเป็นลายเส้นเต็มหุบเขาสุดลูกหูลูกตาเลยทีเดียว ต้องยกนิ้วให้กับสัญชาติญาณของมนุษย์ในการหาอาหารซึ่งกลายมาเป็นนาขั้นบันไดที่ใหญ่ที่สุดในโลกและถูก Unesco ยกเป็นมรดกโลก

เมื่อมองใกล้ๆ นาขั้นบันไดหยวนหยางมีหลากหลายสี จากสีของพืชและดินที่ทับถมในนาแต่ละขั้นแต่ละช่วง

ด้วยความที่นาขั้นบันไดหยวนหยางอยู่บนระดับความสูง 1,000-2,000 เมตรจากน้ำทะเล แม้ในช่วงฤดูหนาวจะไม่ถึงกับหนาวจนมีน้ำแข็งจับ แต่สามารถทำนาได้เพียงปีละครั้งเท่านั้น คือช่วงเมษายนถึงสิงหาคม ฉะนั้นหลังจากช่วงพักนา ชาวนาจะปล่อยน้ำลงนาอีกที่ปลายเดือนพฤจิกายน-กุมภาพันธ์ เพื่อเตรียมนาให้พร้อมเพาะปลูกในปลายเดือนมีนาคม ซึ่งช่วงที่เหมาะกับการมาเยือนที่สุดคือ ธันวาคม-กุมภาพันธ์ และช่วงที่มีทะเลหมอกมากที่สุดคือธันวาคม

แสงหยอดบนนาขั้นบันไดหยวนหยางช่วงเช้ามืด

ส่วนช่วงที่ดีที่สุดในการท่องเที่ยวคือกุมภาพันธ์ นอกจากจะมีโอกาสได้เห็นหมอกหนาๆบนนาขั้นบันไดในช่วงเช้าแล้ว ยังเป็นช่วงที่ดอกซากุระ และดอกท้อบานด้วย เรียกว่าไปทีเดียวเที่ยวครบ แต่ให้ระวังช่วงตรุษจีนหน่อย การเที่ยวพร้อมคนจีนช่วงนั้นน่าจะต้องแย่งกันกินแย่งกันถ่ายรูปเลยทีเดียว เมษายนเป็นเดือนที่มีเมฆฝนมากที่สุดไม่เหมาะจะไปและเริ่มปลูกข้าวแล้ว ถ้าพลาดช่วงนี้ไปเดือนที่ท้องนาเป็นสีทองอร่ามคือสิงหาคม-กันยายน แต่จะถ่ายไม่โดนแสงน้ำที่สะท้อนฟ้า จะเป็นอีกอารมณ์หนึ่ง เหมาะสำหรับผู้ที่ไปเยือนซ้ำมากกว่า และจะมีนักท่องเที่ยวน้อยมาก

แสงของท้องฟ้าและเมฆที่สะท้อยน้ำ จะเห็นได้ช่วงสายๆและบ่ายๆ

การเที่ยวชมนาขั้นบันไดนั้นต้องไปเก็บภาพในช่วงรุ่งสางและช่วงพระอาทิตย์ตกเพื่อให้ได้แสงสีต่างๆที่ตกกระทบสะท้อนน้ำในนา ถ้าเป็นช่วงกลางวันจะเห็นเพียงสีขาวและฟ้าของท้องฟ้า และที่น่าสนใจคือ เขาไม่ได้อนุญาติให้ลงไปเดินเล่นในนา ทุกที่จะมีพื้นที่เฉพาะที่ลงได้เท่านั้น ซึ่งจะมีป้ายกำกับ เนื่องจากเขาต้องการสร้างระเบียบให้แก่นักท่องเที่ยวจีนทั่วไปที่เป็นนักท่องเที่ยวหลักของที่นี้ มิฉะนั้นนักท่องเที่ยวบุกย่ำนาเสียหาย และทำลายภาพสวยๆเพราะมีคนอยู่เต็มนา

ลายเส้นสวยงามบนท้องนาที่มีกระท่อมกลางนาแทรกเป็นช่วงๆ

จากการที่หยวนหยางเป็นสววรค์ของนักถ่ายภาพแนวภูมิทัศน์ landscape photography ที่ต้องการเก็บภาพแสงสะท้อนและลายเส้นบนนา ตากล้องจีนเองทั้งสมัครเล่นและอาชีพต่างแห่มาลงที่นี้ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ เพื่อให้ได้ภาพในช่วงที่สมบูรณ์ที่สุด และเพื่อเก็บแสงเช้าที่เปลี่ยนได้หลากหลายอารมณ์

หมู่บ้านน้อยใหญ่แทรกตัวอยู่บนสันเขาระหว่างนาขั้นบันได

ประสบการณ์การไปถ่ายแสงเช้าแข่งกับชาวจีนเป็นเรื่องที่เล่าต่อได้สนุกสนาน วันที่ไปถ่าย เราจะต้องไปรอเข้าแถวเพื่อเข้าไปจับจองที่ที่ดีที่สุด (ก็ไหนๆมาแล้วนะ คงไม่มาอีก) ตั้งแต่ตี 4 ขณะที่รถขับออกจากโรงแรมผ่านโรงแรมอื่น เราเห็นนักท่องเที่ยวที่อุปกรณ์ครบมือยืนรอรถกันอยู่หน้าโรงแรมเป็นกลุ่มใหญ่แทบทุกโรง ในใจได้แต่ภาวนาว่าจะถึงก่อนคนกลุ่มนั้น

เราเริ่มเข้าคิวตั้งแต่ตี 4 ครึ่ง ท่ามกลางอากาศหนาวจากน้ำค้างยามเช้ามืด มีคนมาเข้าแถวอยู่แล้วสัก 40-50คน ซึ่งมีแต่ชาวจีน เราก็แอบกังวลกันเองว่าคนจีนจะแซงคิวไหม แต่ก็ใจชื่นที่เห็นว่าคนในคิวแรกๆต่างปฎิเสธคนที่พยายามแทรกซึ่งจะมีทยอยเข้ามาไม่ขาดสาย ถือว่าคนจีนสมัยนี้รู้จักกติการกันมากขึ้น พอประตูเปิดตอนใกล้ 6 โมงเช้าคิวก็ยาวจนมองไม่เห็นปลายแถวเสียแล้ว

แสงแรกตรงจุดชมวิวตัวอี้ซู่กับทะเลหมอก บนนาขั้นบันไดหยวนหยาง

เราไปถ่ายกันที่ ตัวอี้ซุ่ (Duoyishu 多依树) เป็นหนึ่งในสามจุดชมวิวของหยวนหยาง ซึ่งทางรัฐสร้างไว้เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวได้กว่าพันคน ปกติตามที่เที่ยวแบบนี้ที่อื่นในโลก เราต้องเดินหาวิวสวยจากจุดที่ห่างไกลจากนักท่องเที่ยวหลัก แต่ที่หยวนหยางนี้ จุดชมวิวทั้งสามที่ทางรัฐสร้างไว้ เป็นจุดที่ดีที่สุดในการถ่ายโดยไม่ต้องไปเดินหาให้เหนื่อย สำหรับตัวอี้ซู่จะเป็นจุดชมวิวที่ดีที่สุดสำหรับวิวช่วงเช้า ซึ่งมีทะเลหมอกให้เห็น ชื่อตัวอี้ซู่มาจากภาษาท้องถิ่นของชาวฮานิ แปลว่า ”สววรค์บนดิน”

แม้จะเกือบ 6 โมงแต่ฟ้ายังมืดเพราะเราอยู่ในที่ราบสูงซึ่งพระอาทิตย์ขึ้นช้า จุดชมวิวตัวอี้ซู่สร้างเป็นแนวโค้งไปตามเส้นภูเขา เป็นระเบียงไม้ 3 ชั้น ชั้นแรกที่ไปถึงเป็นลานกว้างซึ่งเป็นจุดที่ดีที่สุดในการตั้งกล้อง ลงจากชั้นแรกไปจะยื่นออกไปเล็กน้อย และชั้นล่างสุดจะยื่นออกไปมากที่สุด ทุกคนที่เข้าคิวกันมานานต่างรีบกรูกันเข้าไปจับจองพื้นที่ริมระเบียงเพื่อตั้งขาทั้งๆที่ไม่รู้ว่าข้างหน้าทิวทัศน์เป็นอย่างไร เพราะมืดมาก จะไปห้องน้ำก็ไม่ได้ เพราะภายในเวลาไม่ถึงสิบห้านาที ฝูงชนเริ่มหลั่งไหลเข้ามาเป็นรถบัส

เวลามองลงไปบนนาขั้นบันไดหยวนหยางจากมุมสูง บางจุดดูเหมือนใยแมงมุม

ฝูงชนมากมายมายืนหายใจรดต้นคอเราที่มาถึงเป็นแถวหน้า ขณะเริ่มถ่ายภาพ มีมือยื่นมาพร้อมมือถือผ่านหน้าเราเพื่อชักภาพมุมเดียวกัน มีคนพยายามแทรกตัวเข้ามาระหว่างขาตั้งกล้องเพื่อถ่ายภาพเซลฟี่ บางคนวางแขนไว้บนไหล่เราเพื่อยื่นกล้องเขาไปตั้งถ่ายคู่กับเรา เป็นประสบการณ์การปฏิสัมพันธ์ที่แปลกดีที่ชาวจีนให้ความเป็นกันเองมาก พอคนหนึ่งออกไปอีกคนก็วนกันเข้ามาใหม่ไม่ขาดสาย

และเมื่อแสงแรกทอลงมา ภาพที่อยู่ตรงเบื้องหน้าคุ้มค่ากับความลำบากในการยืนรอคอย แสงอ่อนๆยามเช้ากระทบลงบนหมอกหนาๆเป็นสีนวลๆ และสะท้อนลงบนนาเป็นเฉดสีอ่อนหวาน อืม.... “สววรค์บนดิน”..

อีก 2 จุดชมวิวคือ บาต๋า (Bada 坝达) และ เหลาหูจุ้ย (Laohuzui 老虎嘴) ซึ่งเป็น 2 จุดที่เหมาะกับการชมแสงเย็น โดยเหลาหูจุ้ย ตามชื่อภาษาจีนกลางเลยว่า”ปากเสือ” เพราะมองไปมีรูปทรงคล้ายเสืออ้าปาก ตั้งอยู่บนระดับความสูง 1400 เมตรสูงกว่าจุดทั่วไปของพื้นที่นาขั้นบันไดทั่วไปแถบนี้ เป็นจุดวิวยามเย็นที่งามมองเห็นนาขั้นบันไดจากมุมสูง ลายผืนนาขั้นบันไดที่เหมือนเส้นกราฟฟิกตัดกัน ดูน่าหลงไหล เพลินตา ยิ่งโดยเฉพาะในมุมสูง

ส่วน บาต๋า จากจุดชมวิวนี้จะเห็นพื้นที่นาขั้นบันไดขนาดใหญ่มากที่สุด ราว 56 ตารางกิโลเมตร เหมาะสำหรับการชมวิวยามเย็นมากๆ บริเวณจุดชมวิวมีร้านสะดวกซื้อ มีร้านอาหาร เหมือนจุดชมวิวทั้ง 2 แห่ง เพียงแต่มีพื้นที่ใหญ่กว่ามาก มีการจัดสวนหย่อมภายใน

เราเข้าไปหาจุดตั้งกล้องตั้งแต่บ่าย4โมงเย็น เพื่อรอแสงเย็นตอน 6 โมง แต่ด้วยมวลชนที่ปักหลักรอและมาเร็วกว่าเรา เราต้องถอยร่นลงไปเรื่อยๆเพื่อหาจุดถ่าย จนเข้าเขตหมู่บ้านก็ได้จุดถ่ายริมขั้นนาในหมู่บ้าน เราต้องลงทางเดินสูงชันเพื่อเข้าไปในเขตคันนาซึ่งระหว่างทางมีขี้ควายตกอยู่เป็นระยะ ทีแรกสงสัยอยู่ว่าทางชันขนาดนี้ทำไมมีขี้ควายเยอะ และก็ไม่ต้องเดาต่อเพราะระหว่างทางลงมีควายเดินสวนขึ้นมาพร้อมชาวนาที่หามจอบเป็นช่วงๆ ดูมีความเป็นชนบทมาก แตกต่างจากด้านบนที่ห่างขึ้นไปเพียง 500เมตร ซึ่งมีฝูงชนมากมายเอะอะราวฟ้ากับเหว

เราตั้งกล้องที่ริมคันนาเพื่อรอพระอาทิตย์ตก เป็นโชคดีที่ได้เห็นคนลงไปดำนาและควายย้ำผ่าน ได้เห็นวิถีชาวนาจริงๆ เวลามีควายเดินกลับบ้านผ่านเราที เราก็เก็บของหลบที เพราะทางเดินริมคันนานี้แคบมาก เด็กๆในหมู่บ้านมามุงดูการถ่ายภาพ สำหรับเขานาก็คือนา คงงงว่าคนเขาแห่กันมามากมายทำไมกัน

พระอาทิตย์ตกที่หยวนหยาง แสงสะท้อนบนน้ำบนนาขั้นบันได

ฟ้าเริ่มมืด แบ่งขนมกินกับเด็กๆเสร็จ ก็จ้างวานให้ช่วยขนขาตั้งกล้องกับกระเป๋าเสบียงขึ้นไปส่งด้านบน เพราะฟ้ามึดเร็วมาก ไม่อยากเหยียบโดนกับดักขี้ควายระหว่างทาง เด็กดีใจที่ได้ค่าขนม เราก็โล่งใจไม่ได้เหยียบโดนกับดัก คืนนั้นกลับไปนอนหลับฝันหวานเพราะได้ออกกำลังกายเต็มที่จากการไต่กลับขึ้นมาจากหมู่บ้าน

นอกจากจุดชมวิวทั้ง 3 แล้วยังมี เหล่าอิงจุ้ย (Laoyingzui 老鹰嘴) แปลตรงตัวจากภาษาจีนกลางว่าปากเหยี่ยว ซึ่งไม่ได้เป็นจุดชมวิวที่ทางการกำหนด อยู่บนหน้าผาเล็กๆ ต้องเดินเรียบเขาเข้าไป สามารถมองวิวจากมุมสูงได้ดีเหมือนตาเหยี่ยว แต่ค่อนข้างอันตรายเพราะไม่มีไม้กั้น ก่อนทางลงมีโรงแรมเล็กๆที่เราสามารถเข้าไปนั่งดื่มชา/กาแฟได้ แต่ร้านจะเล็กหน่อย ไม่เหมาะกับกลุ่มใหญ่ เหล่าอิงจุ้ยนี้ไม่ได้อยู่บนแผ่นที่ แต่คนในท้องที่รู้จักกันดี ถ้าจะเรียกรถไปก็แค่บอกชื่อสถานที่ซึ่งเป็นทางเดียวกับทางไปจุดชมวิวบาต๋า

หากอยากเห็นวิวสวยสมบูรณ์ที่หยวนหยาง ต้องดูดินฟ้าอากาศ (การเที่ยวแนวภูมิทัศน์ต้องอาศัยดินฟ้าอากาศที่เป็นใจ ไม่งั้นไปเสียเที่ยว ฉะนั้นต้องศึกษาช่วงเที่ยวที่ดีที่สุดเพื่อให้ได้สัมผัสบรรยกาศที่เยี่ยมคุ้มค่า) ถ้าฟ้าใสเกินไปก็ไม่ดี เราจะเห็นแสงสะท้อนบนผืนนาเป็นสีเดียวเท่านั้น ถ้าได้วันที่ปุยเมฆเยอะ หรือฟ้าหลังฝนจะเยี่ยมสุด แสงสะท้อนจะหลากสีมากกว่า

ชนพื้นเมืองชาวฮานิ

สิ่งที่น่าสนใจในหยวนหยางนอกจากนาขั้นบันไดแล้วคือชาวฮานิ (Hani 哈尼) ซึ่งคือขนเผ่าเดียวกับอาข่า มีภาษาพูดเป็นของตัวเอง พวกผู้หญิงยังนิยมสวมชุดชนเผ่าอยู่ ชาวฮานิสืบเชื้อสายมาแต่โบราณ มีการบันทึกไว้ว่าชาวฮานิอาศัยอยู่ในเขตที่ ราบสูงระหว่างซิงเจียงและธิเบตในราว 400ปีก่อนคริสต์ศักราช มีอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก แต่ถูกชาวฮันสมัยราชวงศ์ฉิน (ยุคกษัตริย์ฉินซี/ฉินซีฮ่องเต้) รุกราน เลยอพยพไปอยู่ในพื้นที่ราบสูงแถบยูนานและบางพวกก็ไหลไปอยู่แถบสิบสองปันนา ไทย เวียดนามและพม่า กลายเป็นชนเผ่าอาข่าที่เรารู้จัก ด้วยความที่ชาวฮานิมีพื้นเพเป็นเกษตรกร เมื่อย้ายถิ่นเข้ามาอยู่ในดอยจึงถางที่สร้างนาขั้นบันไดเรื่อยมา และด้วยความกลัวอดยากจึงขยายที่นาเรื่อยมากว่า 1,300ปี เกิดเป็นที่นาต่อเนื่องใหญ่โตกว่า 2,200 ตารางกิโลเมตร จนได้ขึ้นเป็นมรดกโลก และด้วยความที่ชนเผ่าที่นี้มีความเป็นปึกแผ่น มีเอกลักษณ์และภาษาถิ่นที่เข้มแข็งซึ่งมีการปกครองกันเองมาช้านานแม้จะผ่านยุคสมัยเปลี่ยนแผ่นดินหลายรอบ ปัจจุปันรัฐบาลจีนตั้งให้เขตหงเหอ (ซึ่งเป็นเขตอันเป็นที่ตั้งของนาขั้นบันไดหยวนหยาง) เป็น “เขตปกครองตนเองฮานิ” นอกจากชาวฮานิชนเผ่าต่างๆในเขตนี้ยังมีชาวอี่ Yi ชาวแม้ว Miao ชาวไท Dai ชาวซาง Zhuang ซึ่งแต่ละเผ่า พูดคนละภาษา แต่อยู่ร่วมกันอย่างสงบ เวลาเราเดินไปรอบๆหมู่บ้านเจอคนเฒ่าคนแก่ เขาจะพูดภาษาจีนกลางไม่ได้ พูดได้แค่ภาษาถิ่น

เราได้เข้าไปเยี่ยมหมู่บ้าน จินคู (Qingkou) ซึงเป็นหมู่บ้านขนาด 150หลังคาเรือน มีประชากร 800คน ถือเป็นหมู่บ้านฮานิสำหรับนักท่องเที่ยว ในหมู่บ้านนี้จะมีบ้านสไตล์ฮานิที่มีหลังคามุมจากเป็นรูปทรงคล้ายเห็ดให้เห็น มีลานกิจกรรม และร้านอาหาร เราสามารถเห็นชาวบ้านและเด็กๆที่ยังสวมชุดแบบฮานิอยู่ทั่วไป แต่ผู้ชายจะสวมชุดสากลหมด ในหมู่บ้านเส้นทางเดินง่ายเป็นวงกลมเดินขึ้นๆลงๆเนินหน่อยก็จะเดินทั่วหมู่บ้าน สามารถเก็บภาพได้เยอะ แต่ถ้าจะถ่ายภาพชาวบ้านควรขออณุญาติก่อน เนื่องจากนักท่องเที่ยวเยอะและบางคนนิยมให้เงินเด็ก ทำให้มีเด็กติดเรื่องขอสินน้ำใจ


การเดินทางไปหยวนหยางช่วงกุมพาพันธ์ขาดไม่ได้ถ้าไม่ไป หลั่วผิง (Louping 罗平) ซึ่งมีระยะทางห่างกัน 330 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางราว 5 ชั่วโมง ที่หลั่วผิงมีการทำไร่ดอกคาโนลาที่นำมาผลิตเป็นน้ำมันเพื่อปรุงอาหาร ซึ่งเป็นพืชเศรษกิจหลักและรายได้อันดับหนึ่งของชาวบ้าน ช่วงที่ดีที่สุดในการชมทุ่งดอกคาโนลาคือช่วงปลายกุมภาพันธ์ถึงต้นเมษายน ฉะนั้นถ้าเดินทางไปหยวนหยางช่วงนี้ จึงไม่ควรพลาดหลั่วผิง

หลั่วผิง Louping 罗平 ในมณฑลยูนาน ช่วงดอกคาโนลาบาน ปลายกุมภาพันธ์ - เมษายน ซึ่งเป็นช่วงที่สวยที่สุด

ภูมิทัศน์ของทุ่งดอกคาโนลาเป็นเอกลักษณ์แปลกตามาก มีเนินเขาเล็กๆกระจายอยู่ทั่วบริเวณ เหมือนมียักษ์ทำหินตกบนลาน เพราะพื้นที่รอบๆเนินนั้นเรียบมาก

ทุ่งดอกคาโนลา หลั่วผิง Louping 罗平 ในมณฑลยูนาน

ชาวจีนหลั่งไหลไปหลั่วผิงตั้งแต่ปี 1999 ด้วยภาพโปรโมทของทุ่งดอกคาโนลาขนาด 200,000ไร่ ทางรัฐจัดงานดอกคาโนลาประจำทุกกุมภาพันธ์ต่อเนื่องถึง 20ปีแล้ว ซึ่งงานจะสเกลใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และเหมือนกับหยวนหยาง หลั่วผิงก็เป็นอีกจุดหมายปลายทางหนึ่งสำหรับผู้รักการถ่ายภาพทุกประเภทที่ต้องแห่กันไปในช่วงเดือนมีนาคม เราจะเห็นฝูงชนชาวจีนแต่งตัวเต็มที่มาถ่ายรูปคู่กับดอกไม้ฟรุ่งฟริ้งทั่วหลั่วผิง

นอกจากการเที่ยวในบริเวณทุ่งดอกคาโนลาซึ่งนิยมทำโดยการจ้างรถเทียมวัวตกแต่งน่ารักในช่วงบ่ายแก่ๆที่แสงหวานๆแล้ว ยังควรขึ้นไปจุดชมวิว จินจีฟง (Jinji Peaks) ซึ่งสามารถเก็บภาพทุ่งดอกคาโนลาได้ในมุมสูง โดยเฉพาะแสงเช้าเมื่อแสงแรกทอลงบนทุ่งผ่านสันเขา เราจะเห็นภาพเนินเขาที่ล้อมรอบไปด้วยทุ่งดอกคาโน่ลาสีเหลืองชวนฝัน ไม่แปลกใจเลยที่ผู้คนนับล้านหลั่งไหลกันเข้ามาที่นี่

สำหรับคนที่ต้องการไปเก็บแสงเช้าที่จินจีหลิน (Jin Ji Lin 金鸡岭) ต้องรีบขึ้นเนินเสียแต่เช้ามืด เพราะบริเวณที่สามารถวางขาตั้งกล้องได้มีจำกัดมาก และตากล้องจีนที่ต้องการเก็บภาพก็จะค่อนข้างเอาเรื่อง การพยายามแทรกขาตั้ง แทรกตัวคน แทรกกล้องมือถือ หรือวางแขนบนบ่าคนที่อยู่แถวหน้าก็จะเป็นเรื่องปกติมากที่ต้องโดน และเมื่อแสงแรกมาถึง เราจะรู้สึกทึ่งกับความงามของทุ่งที่มองไปเป็นสีเหลืองสุดลูกหูลูกตา จนลืมประสบการณ์หงุดหงิดเล็กน้อยที่ถูกปฎิบัติจนหมด กลับเป็นเรื่องขำขันที่ไปเล่าต่อให้เพื่อนๆฟัง

หลัวซือเถียน (Luosi field 螺蛳田) 1ใน4 ทัศนียภาพอันเป็นเอกลักษณ์ของยูนาน

บริเวณรอบๆเมืองหลั่วผิงมีทุ่งคาโนลาให้ชมหลายที่ โดยเฉพาะที่ หลัวซือเถียน (Luosi field 螺蛳田) ซึ่งแปลตามชื่อว่า เนินหอยทาก และเป็นหนึ่งในสี่ทิวทัศน์พิเศษของมณฑลยูนาน ซึ่งประกอบด้วย นาขั้นบันไดหยวนหยาง นาแดงตงฉวน Dongchuan Red Soil และภูเขาหิมะ เหมยลี่ Meili Snow Mountain ที่ หลัวซือเถียน (Luosi field 螺蛳田) ก็เป็นอีกจุดที่เหมาะกับการถ่ายแสงเช้า จุดที่ถ่ายรูปตั้งอยู่บนที่สูงเพื่อมองลงไปที่ทุ่ง เป็นทางเดินกว้างๆเรียบถนนใหญ่ มีร้านขายมันเผา ข้าวโพดเผา กระจายเป็นหย่อมๆ ใช้เวลาถ่ายไม่นานแต่ใช้เวลาเอนจอยกับแทะมันเผาแกล้มวิวสวยๆในวันที่อากาศหนาวๆเยอะกว่า

น้ำตกจิวหลง Jiulong Waterfalls เป็นน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในจีน

จะจากหลัวผิงไปโดยไม่แวะถ่ายภาพน้ำตกจิวหลง Jiulong Waterfalls ซึ่งแปลตามตัวว่าเก้ามังกร (Jiu Long Water Falls 九龙瀑布 )ไม่ได้ น้ำตกนี้เป็นน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในจีน และเป็นน้ำตกที่สวยเป็นอันดับ 4 ในจีน โดยการจัดอันดับของ National Geography

น้ำตกจิวหลง Jiulong Waterfallsนี้มี 10ชั้น (แต่ทำไมเรียกว่าเก้ามังกรไม่รู้) โดยส่วนที่สวยที่สุดคือจุด หลงผู้ Dragon Waterfall มีความสูง 56เมตร กว้าง 112เมตร มองจากด้านหน้าเป็นทางโค้ง หลังม่านน้ำตกคือถ้ำที่ลึกประมาณ 10เมตร ระหว่างทางเดินในน้ำตกจิวหลง มีดอกซากุระที่บานสะพรั่งในช่วงเดือนกุมภาพันธ์เป็นทางยาวทั่วหุบเขา มีเรือให้บริการนั่งไปชมน้ำตกแบบประชิดเลย

ทริปนี้ ได้เห็นนาขั้นบันไดที่มีหมอกยามเช้าปกคลุม ทุ่งดอกไม้สีสดใส และดอกซากุระสีหวาน ทำให้รู้สึกถึงฤดูใบไม้ผลิที่เพิ่งมาถึง และความรู้สึกที่มีต่อจีนที่เปลี่ยนไป รำลึกได้ว่าจีนเป็นประเทศที่มีภูมิทัศน์หลากหลายที่สุดในโลก แม้จะมีความเป็นเอกเทศมากกว่าชาติใดๆ โดยประชาชนพูดแต่ภาษาจีน และมีวัฒนธรรมเฉพาะตัว มีระบบ โซเชียลมีเดีย เฉพาะชาติ facebook internet หรือแอฟที่ไม่ใช่ของจีน ไม่สามารถใช้ได้ในจีน ทำให้จีนเป็นประเทศที่ดูน่าค้นหา เอาสิ่งดีๆมาชม

 

การเตรียมตัว

ช่วงที่เดินทางนี้เป็นช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งยังหนาวอยู่โดยเฉพาะในช่วงเช้ามืดที่เราจะไปชมแสงแรกบนนาขั้นบันได และเป็นช่วงที่ฝนยังตกอยู่เพราะเป็นช่วงต้นฤดู ควรเผื่อเวลาอย่าวางตารางให้แน่นเกินไป อย่างเช่นวันที่เราไปถึงหยวนหยางวันแรก ฝนตกทั้งบ่ายแถมลูกเห็บตก ใจแบ๋วเลยทีเดียว แต่ฟ้าหลังฝนในเช้าถัดมาสวยมาก ควรให้เวลาในหยวนหยาง 3 วันเต็มๆ แต่ในเมืองนี้เป็นชนบทจึงไม่ค่อยมีร้านรวงให้ไปช้อป ไม่ได้มีร้านกาแฟ ชานมไข่มุกให้นั่งชิลมาก เหมือนเมืองใหญ่ๆในจีน


802 views

Comments


bottom of page