top of page

Northern Ireland

Updated: Apr 21, 2020

เดินทางกลางเมษายน 2019 ระยะเวลา 3วัน

Giant's Causeway, Northern Ireland

แฟนซีรีย์แนวแฟนตาซี Game of Thornes ยังคงเดินทางตามรอยสถานที่ถ่ายทำของซีรีย์นี้อยู่ทั่วโลก ทำให้สถานที่อย่างโครเอเชียและไอร์แลนด์เหนืออยู่ในแผนที่ท่องเที่ยวที่ต้องไปให้ได้สำหรับสาวกช่วง2-3ปีที่ผ่านมา แม้ซีรีย์ที่มีคนติดตามมากที่สุดในโลกได้นี่ได้ลาจอไปเมื่อกลางปีที่แล้ว ไอร์แลนด์เหนือซึ่งเป็นโลเคชั่นหลักหลายฉากทั้งเมืองบ้านเกิดของพระเอก เมือง Winterfell โลเคชั่นชายหาดเมือง Westeros และเมืองของ Baratheon ในซีรีย์ก็ถ่ายทำที่นี่ ในช่วงกว่า 10ปี ตั้งแต่ซีรีย์เริ่มถ่ายทำในปี 2010 มีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมเพิ่มขึ้นทุกปี และเมื่อคุณหาข้อมูลเกี่ยวกับไอร์แลนด์เหนือจะมีทัวร์ Game of Thornes ให้เลือกเยอะเลยทีเดียว

กลางเมือง Belfast, Northern Ireland

ไอร์แลนด์เหนือไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของประเทศไอร์แลนด์ แต่เป็นส่วนหนึ่งของอังกฤษ มีประชากร 1.8ล้านคน เมื่อครั้งไอร์แลนด์ประกาศอิสรภาพขึ้นเป็นประเทศไอร์แลนด์ในปี ค.ศ. 1922 ไอร์แลนด์เหนือไม่ได้ต้องการแยกออกจากสหราชอาณาจักรอังกฤษ เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่เป็นโปรเตสแตนที่สืบเชื้อสายจากอังกฤษ จึงเลือกที่จะเป็นส่วนหนึ่งของอังกฤษ ตั้งแต่นั้นมา ชาวไอร์แลนด์เหนือที่เป็นแคทอลิกซึ่งเป็นชนส่วนน้อยที่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของไอร์แลนด์เริ่มแตกแยก และช่วงยุค 1960 ปัญหาทวีความรุนแรงจนก่อให้เกิดการต่อสู้เพื่ออิสระภาพและก่อการร้ายยาวนานกว่า 30ปี มีการยิงกัน 36,900ครั้งและระเบิดกว่า 16,200ครั้ง โดยมีผู้เสียชีวิตราว 3,500คน และบาดเจ็บกว่า 50,000ราย จนถึงปี 1998 ทางการอังกฤษได้ร่วมเซ็นสัญญา Good Friday Agreement กับรัฐบาลท้องถิ่นทำให้ปัญหาลดลง แต่ก็ยังมีเหตุไม่สงบอยู่เป็นระยะ จนวันที่ 26 กรกฎาคม ค.ศ. 2005 กลุ่มติดอาวุธ IRA วางอาวุธและยุติการเคลื่อนไหวทั้งหมด ไอร์แลนด์เหือจึงกลับมาสงบสุข

Ballintoy, Northern Ireland

ภูมิประเทศของไอร์แลนด์เหนือไม่เหมาะกับการเพาะปลูกเนื่องจากสภาพอากาศที่คาดเดายาก ประชาชนส่วนใหญ่ทำปศุสัตว์ ทำสิ่งทอ และต่อเรือเป็นหลัก แต่ตั้งแต่การประกาศยุติการเคลื่อนไหวของ IRA เป็นต้นมา อัตราว่างงานจากที่สูงเกิน 20% ก็กลับมาที่ 6% ผู้คนมีรายได้ดีและอยู่กันอย่างกินดีอยู่ดีมากขึ้น และด้วยความดิบของภูมิประเทศ การท่องเที่ยวกลายเป็นอุตสาหกรรมอันดับหนึ่งของที่นี่แทน โดยนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เป็นชาวอังกฤษ และจากการนำเสนอของหนังสือพิมพ์ The Sunday Times ในปี 2018 จัดอันดับเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในอังกฤษ มีถึง 9 เมืองที่อยู่ในไอร์แลนด์เหนือ

Portrush, Northern Ireland

ด้วยความที่ไอร์แลนด์เหนือยังคงธรรมชาติ พื้นที่ส่วนใหญ่ไม่ได้ถูกพัฒนา แต่คงความดิบไว้มาก ทำให้ที่นี่เป็นแหล่งสวรรค์ของนักท่องเที่ยวที่แสวงหาธรรมชาติที่ไม่ได้ปรุงแต่ง กิจกรรมส่วนใหญ่ที่ทำกันคือการเดินป่า ตกปลา หรือเที่ยวชมปราสาทเก่า และจนซีรีย์เรื่องดังเลือกสถานที่ถ่ายทำหลักเป็นไอร์แลนด์เหนือ ทำให้การท่องเที่ยวยิ่งบูมมาก

สถานที่ที่มีชื่อเสียงทีสุดของไอร์แลนด์เหนือคือ Giant’s Causeway ซึ่งเป็นแท่งหินภูเขาไฟทรงเหลี่ยมจำนวนกว่า 4หมื่นแท่งอัดเป็นกลุ่มและกินทางยาวกว่า 6 กิโลเมตรเรียบชายฝั่ง มันเกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟเมื่อ 50-60ล้านปีก่อน ซึ่งลาวาไหลมารวมตัวกันแถบนี้และเมื่อเย็นลงและถูกบีบอัดโดยกระแสคลื่นที่ตีเซาะจึงเกิดเป็นเหลี่ยม 5-7เหลี่ยม มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 15-20นิ้ว และมีความสูงราว 25-100เมตรไล่หลั่นกันไป Giant’s Causeway ถูกศึกษาอย่างจริงจังตั้งแต่ปี 1693 โดยนักธรณีวิทยา และในปี 1986 UNESCO ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก

หลายคนน่าจะสนใจตำนานเกี่ยวกับ Giant’s Causeway มากกว่าที่จะรู้ว่าหินแท่งประหลาดเหล่านี้เกิดจากภูเขาไฟระเบิดใต้น้ำ เล่ากันว่ายักษ์ชื่อ Fionn mac Cumhaill (หรือ Finn MacCool) เป็นคนสร้างถนนข้ามมหาสมุทรเพื่อไปต่อสู้กับยักษ์อีกตนหนึ่งนามว่า Benandonner ซึ่งอาศัยอยู่ฝั่งสก็อตแลนด์ Benandonner ท้าให้ Fionn สร้างถนนข้ามมหาสมุทรจากฝั่งไอร์แลนด์เพื่อมาเจอกันโดยเขาจะสร้างจากอีกฝั่ง แต่เมื่อถนนเสร็จมาบรรจบกัน Fionn เพิ่งเห็นคู่ต่อสู้ยักษ์ Benandonner ซึ่งตัวใหญ่กว่าเขามาก จึงกลัวและเตลิดกลับบ้านก่อนที่ Benandonner จะได้เห็นหน้า ภรรยาของ Fionn จึงเอาเขาไปซ่อนโดยให้ปลอมตัวเป็นเด็กทารก และเมื่อ Benandonner เห็นทารก Fionn เข้า ก็ตกใจและจินตนาการว่าพ่อของเด็กจะต้องตัวใหญ่มากกว่าตนเองอีกหลายเท่า จึงรีบหนีกลับสก็อตแลนด์และทำลายทางที่สร้างไว้เพื่อไม่ให้ Fionn ตามไปได้ ปัจจุปันเรายังเห็นกลุ่มแท่งหินแบบนี้ที่ฝั่งสก็อตแลนด์ตรง Fingal’s Cave ซึ่งอยู่ด้านมหาสมุทรตรงข้ามจากที่นี่ด้วย

ช่วงที่แสงสวยที่สุดที่ Giant's Causeway คือช่วงเย็น พระอาทิตย์จะตกฝั่งนี้พอดี ซึ่งนอกจากจะได้รูปหินแท่งแล้ว ยังได้แสงหลากอารมณ์ตอนช่วงพระอาทิตย์ตกอีกด้วย เราโชคดีมากที่ฟ้าเปิด แม้อากาศจะยังหนาวอยู่ และได้แสงสีชมพูหวานมากๆตอนพระอาทิตย์ตกพอดี เสียดายที่ไม่สามารถเฝ้าถ่ายแสงตอน blue hour หลังพระอาทิตย์ตกได้ เนื่องจากที่นี่เป็นอุทยานแห่งชาติจึงต้องกลับออกไป

The Dark Hedges, Northern Ireland

ช่วงเช้าตรู่วันต่อมาเราตื่นแต่ตี 4 ในขณะที่ฟ้ายังมืดเพื่อออกไป The Dark Hedge เพื่อเก็บภาพกับแสงยามเช้าที่ซุ้มต้นไม้อันเลื่องชื่อซึ่งเป็นไฮไลท์จริงๆสำหรับตัวเองในการมาเยือนไอร์แลนด์เหนือ และสำหรันแฟนซีรีย์ Game of Thrones ถนนตรงนี้คือ King’s Road ซึ่งเป็นเส้นทางที่ไปเมืองหลวง King's Landing ส่วนใครที่หาข้อมูล The Dark Hedge จะเห็นภาพต้นไม้ตามเรื่องเล่าในนิทานแปลกตามากมาย

อันที่จริงต้นบิชเหล่านี้ถูกปลูกเพื่อเป็นการต้อนรับผู้มาเยือน Gracehill House ในปี ค.ศ. 1775 ซึ่งตระกูล Stuart เป็นเจ้าของ โดยปลูกไว้ทั้งหมด 150ต้นเป็นทางยาวสองข้ามทาง ปัจจุปันเหลืออยู่ 90ต้น ในปี ค.ศ. 2004 รัฐบาลท้องถิ่นเริ่มเข้าดูแลต้นไม้เหล่านี้อย่างจริงจัง เพราะนักท่องเที่ยวจากทุกหนแห่งเดินทางมาเพื่อดูต้นไม้เหล่านี้ กลายเป็นรายได้เข้ารัฐ

The Dark Hedges, Northern Ireland

ไม่มีใครรู้ว่าทำไมที่ตรงนี้จึงชื่อ The Dark Hedges อาจมาจากเรื่องเล่าน่าสะพรึ่งเกี่ยวกับวิญญาณ the Grey Lady ซึ่งจะลอยตามกิ่งไม้จากด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่ง ซึ่งว่ากันว่าเธอคือวิญญาณของลูกสาว James Stuart ผู้เป็นคนสั่งปลูกต้นบีชเหล่านี้เอง การตายของเธอเป็นปริศนาเธอจึงได้กลับมาให้เห็นเสมอ

ตอนหาข้อมูลเจอคนที่เขียนแนะนำไม่ให้มาที่ The Dark Hedges เพราะบอกว่าไม่มีอะไรเลยเป็นถนนที่มีต้นไม้สองข้างทางเฉยๆ และคนก็เยอะมาก ไม่ได้บรรยกาศแบบรูปที่ร่อนกันในเน็ตเลย ส่วนตัวเห็นด้วย ถ้ามาไม่ถูกที่ไม่ถูกเวลา เวลาที่ควรมาถึงคือช่วงก่อนรุ่งสร่าง และต้องไปจอดรถก่อนถึงต้นทางของทิวต้นไม้นี้ เพื่อจะได้เดินผ่านต้นไม้เข้าไปตรง Gracehill House ซึ่งปัจจุปันเปิดเป็นร้านอาหารและสถานที่รับจัดงาน เมื่อเดินพ้นกลุ่มต้นไม้ออกมาเกือบถึงทางเข้าคฤหาศค่อยหันหลังกลับไปถ่าย จะได้มุมที่อยู่ในรูปที่ตีแพร่ไปทั่วโลก ข้อดีของการมาถึงก่อนรุ่งสร่างคือไม่ค่อยมีคน (ไม่ใช่ไม่มีคนนะ เพราะกลุ่มผู้รักการถ่ายภาพต่างๆเขารู้มุมรู้เวลาเหมือนกัน) เช้าวันที่เรามาถึงมีคณะถ่ายภาพจากเนเธอร์แลนด์มาตั้งกล้องก่อนเรา พอเรามาเขาก็ถ่ายต่ออีกนิดหน่อยแล้วกลับออกไปเพื่อให้เราถ่ายต่อ ตรงนี้เขาถ่ายอารมณ์สีหม่นๆ น่ากลัวสะพรึ่งหน่อยๆกัน จึงไม่ได้ต้องการแสงเยอะ ตอนเรากลับออกไป นักท่องเที่ยวเริ่มเข้ามากันแล้ว เริ่มถ่ายยากขึ้นและแสงก็สว่างไปหน่อย

ช่วงบ่ายไปต่อกันที่ Dunseverick Castle หนึ่งในโบราณสถานสำคัญของไอร์แลนด์ ที่เห็นมีเนินเขา 3ลูกเหมือนไม่มีอะไรเลยนี่นั้น ในศตวรรษที่ 5 นักบุญ Saint Patrick ซึ่งต่อมาเป็น Bishop of Ireland และเป็นนักบุญที่สำคัญที่สุดของไอร์แลนด์ เคยเสด็จมาที่นี้และล้างบาปให้แก่ Olcán ซึ่งกลายเป็นลูกศิษย์คนสำตัญและผู้เผยแพร่ศาสนาคริสหลักในพื้นที่ทางเหนือของไอร์แลนด์ ในยุคนั้นคนในแถบนี้เป็นคนไร้ศาสนา และต่อมา Olcán ก็ได้เป็น Bishop of Ireland ต่อมาในปลายศตวรรษที่ 6 กษัตริย์ Fergus Mor MacEirc ซึ่งปกครองชาว Dál Riata (ปฐมกษัตริย์ผู้ก่อตั้งสก็อตแลนด์) พำนับอยู่ที่นี่ซึ่งแปลว่าจุดนี้คือศูนย์กลางการปกครองของชาว Dál Riata ที่ยืดส่วนตะวันตกทั้งหมดเกาะสก็อตแลนด์ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไอร์แลนด์ ภายหลังจากที่กษัตริย์ชาว Dál Riata ย้ายไปอยู่สก็อตแลนด์ ขุนนางไอริชตระกูล O'Cahan เข้าครอบครองและอาศัยอยู่จาก ค.ศ. 1000-1657 ตัวปราสาทถูกทำลายในปี ค.ศ. 1642 จากสงคราม เดิมยังหลงเหลือส่วนห้องนอนไว้ แต่ถล่มลงในปี ค.ศ. 1978 เหลือไว้แต่ซากปัจจุปัน ด้วยประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ จึงทำให้ Dunseverick Castle เป็น 1 ใน 5 โบราณสถานสำคัญของไอร์แลนด์

ระหว่างทางเราผ่าน White Park Bay เป็นหาดทรายขาวและเป็นพื้นที่สงวนสำคัญทางภูมิศาสตร์ของไอร์แลนด์เหนือ ตรงบริเวณนี้ นอกจากวิวของอ่าวที่เป็นรูปครึ่งวงกลมสวยงามแล้ว ตรงบริเวณหน้าผาแถวนี้เรายังสามารถเห็นฟอสซิลอายุหลายสิบล้านปีได้ เนื่องจากในยุค 200-50ล้านปีก่อน พื้นที่ของไอร์แลนด์ทั้งหมดเคยอยู่ใต้มหาสมุทร ที่เห็นในภาพที่เป็นเหมือนหินสีขาวคือชอล์ก ซึ่งมีให้เห็นเต็มชายหาด กิจกรรมที่นักท่องเที่ยวชอบทำคือเดินก้มหน้าดูฟอสซิลและถ่ายรูปพื้นผิวสีขาวเหล่านี้ (ทำให้นึกถึงทะเลทรายขาวที่อียิปต์ ซึ่งก็เคยเป็นส่วนหนึ่งใต้ท้องทะเลเมื่อหลายร้อยล้านปีก่อนเช่นกัน อ่านบทความ และชมภาพต่อที่ https://www.gooutseeworld.com/post/white-desert-egypt )

หลังจากนั้นเดินทางไป Ballintoy Harbour ท่าเรือที่เป็นสถานที่ถ่ายทำ Game Of Thrones อีกแห่ง เมืองท่านี้มีประชากรเพียง 165คนเอง ซึ่งส่วนใหญมีอาชีพประมง และเดิม Ballintoy ก็เป็นหนึ่งในสถานที่โปรดของผู้ชื่นชอบถ่ายภาพแนวแลนด์สเกปเนื่องจากมีวิวกว้าง 180องศา มีโขดหินรูปทรงสวยงามล้อมรอบ บรรยกาศที่นี้จะดูหม่นๆเศร้าๆ จึงไม่แปลกใจเลยที่จะถูกจัดเป็นฉากหนึ่งของซีรีย์สายหม่น Game of Thrones ชายหาดรูทรงประหราด และพื้นที่นู่นขึ้น และพื้นที่เป็นหินร้าวๆคล้ายเกร็ด ทำให้รู้สึกเหมือนเดินอยู่บนตัวมังกรในหนังแฟนตาซี ถืเป็นที่ที่แปลกแห่งหนึ่งบนโลก

ต่อกันที่ Dunluce Castle ซึ่งสร้างในปี ค.ศ. 1513 โดยตระกูล McQuillans จากสก็อตแลนด์ ปราสาทนี้เป็นป้อมปราการที่ใช้สู้รบด้วย มีการแย่งชิงอำนาจเปลี่ยนมือหลายครั้งในปราสาทนี้ จนถึงปี ค.ศ. 1690 เจ้าของปราสาทในช่วงนั้นซึ่งเป็นตระกูล MacDonnells จาสก็อตแลนด์เหมือนกัน ได้ละทิ้งปราสาทไปเนื่องจากความเสื่อมโทรมของตัวตึก ส่วนที่เป็นครัวพังและถล่มลงไปในทะเลจากหน้าผา ปราสาทถูกทิ้งร้างจนถึงช่วงศตวรรษที่ 18 กำแพงทางเหนือของประสาทถล่มเพิ่มอีก ปัจจุปัน มีภาพยนต์หลายเรื่องถ่ายทำที่ปราสาท Dunluce Castle ทั้งเรื่อง The Medallion ของเฉินหลงในปี ค.ศ. 2003 และใช้เป็นปราสาทของตระกูล Greyjoy บนเกาะ Iron Islands ในซีรีย์ Game of Thrones อีกด้วย ส่วนตัวปราสาทเสื่อมโทรมมาก เหมาะกับการถ่ายจากระยะไกล ช่วงแสงบ่ายๆเย็นๆ และอย่าลืมที่จะถ่ายให้เห็นถ้ำด้านล่างของประสาทซึ่งเป็น Mermaid’s Cave ด้วย

Mussenden Temple, Northern Ireland

เราไปถึง Castlerock ซึ่งเป็นที่ตั้งของ Mussenden Temple สิ่งก่อสร้างสไตล์โรมันโบราณซึ่งเป็นสถานที่มีชื่อเสียงที่สุดในไอร์แลนด์เหนือ สร้างโดย the Earl-Bishop of Derry ในปี ค.ศ. 1785 เพื่อเป็นห้องสมุดส่วนตัว ลอกแบบมาจาก Temple of Vesta ใน Forum Romanum ที่โรม อิตาลี

จากจุดนี้เราสามารถมองลงจากหน้าผาที่เป็นจุดตั้งของ Mussenden Temple เห็น Downhill strand ซึ่งเป็นชายทะเลที่มีทรายขาวยาว 11 กิโลเมตร เป็นจุดชมวิวที่สวยมากช่วงพระอาทิตย์ตก ด้วยความที่ Mussenden Temple สร้างใกล้กับหน้าผามาก จากการกัดเสาะของลมทำให้พื้นดินแถวหน้าผาลดน้อยลงทุกปี จนถึงปี ค.ศ. 1997 ทางการได้มีการซ่อมแซมหน้าผาตรงนี้เพื่อป้องกันไม่ให้มันถล่มลงไป

Mussenden Temple & Downhill Strad, Northern Ireland

ส่วนตัว Downhill Castle ซึ่งเป็นคฤหาสถ์มหึมาสร้างในปี ค.ศ. 1770 และถูกไฟไหม้หนักในปี ค.ศ. 1781 บูรณะและถูกทำลายอีกครั้งช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ยังคงยืนตระหงานอยู่แต่ซากเปลือกให้เห็นความสง่างามในอดีตช่วงที่ยังคงสมบูรณ์

เราคงไม่ได้ไปจากไอร์แลนด์เหนือโดยไม่ได้เข้าไปใน Belfast ซึ่งถือเป็นเมืองหลวงของไอร์แลนด์เหนือ เมืองโดยทั่วไปก็คล้ายๆกับเมืองใหญ่ในยุโรป มีตึกสไตล์ไอริชปะปราย ส่วนที่น่าสนใจคือ St. George’s Market (เพราะเราเป็นคนชอบตลาดมากๆ) ซึ่งเป็นตลาดแบบปิดที่ตั้งอยู่กลางเมือง ร้านค้าในนี้สับเปลี่ยนตลอดเวลาแล้วแต่วันของสัปดาห์ เพื่อไม่ให้เป็นที่น่าเบื่อของชาวเมือง เรามาถึงวันเสาร์พอดีซึ่งเป็นวันสินค้าท้องถิ่น ที่ชอบมากคือชีสท้องถิ่นที่ชาวไร่มาขายเองจากฟาร์มต่างๆ คนที่นี้กินชีสที่รสชาติค่อนข้างเข้มข้น และแผงปลาที่เรียงปลาได้ดูไฮโซมาก ในตลาดช่วงสุดสัปดาห์ยังมีเสื้อผ้าและของตกแต่งแบบท้องถิ่นด้วย นักดนตรีเล่นเพลงแบบไอริชคลอด้วยตลอดเวลาที่เราอยู่ให้บรรยกาศที่สนุกสนาน

The Giant's Causeway, Northern Ireland

ไอร์แลนด์เหนือเป็นที่ที่พลาดไม่ได้สำหรับคนที่รักการเที่ยวแนวธรรมชาติ ด้วยภูมิประเทศที่แปลกตา มองไปแบบดิบๆออกเถื่อนๆนิดๆ ไม่แปลกใจเลยที่เราจะจินตนาการถึงอัศวิน มังกรและผู้วิเศษจากยุคกลาง เมื่ออยู่ที่นี่

 

การเตรียมตัว

สำหรับไอร์แลนด์เหนือ ไม่มีช่วงเวลาเที่ยวไหนที่ดีเป็นพิเศษหรอก เพราะอากาศที่นี่เอาแน่นอนไม่ได้เลยทีเดียว แต่ถ้าจะต้องเลือกให้เลือกช่วงที่ฝนตกน้อยที่สุดคือช่วงเมษายน-พฤษภาคม และกรกฎาคม ไม่ใช่ว่าฝนไม่ตก เพียงแต่ตกน้อยหน่อยเท่านั้น ฉะนั้นคนที่ได้เจอวันฟ้าเปิดและแดดดีถือเป็นคนที่โชคดีจริงๆ

970 views

Comments


bottom of page