เดินทางช่วงธันวาคม 2018 ระยะเวลา 12 วัน
อียิตป์เป็นประเทศที่ใฝ่ฝันอยากไปมาตั้งแต่จำความได้ รู้สึกว่ามันมีมนต์ขลังลึกลับ อยู่ไกลกันเหมือน่อีกโลกหนึ่ง แต่ก็แปลกรู้สึกเหมือนยังไม่ถึงเวลาเสียที จนไปตุรกี อีหร่าน จอร์แดน โมร็อคโค เอมิเรตแล้วยังไม่ได้ไปเสียที ในจังหวะที่อียิปต์ซ่าจากเหตุก่อการร้ายจับตัวนักท่องเที่ยวในสถานที่ท่องเที่ยว โรคติดต่อ MERS ที่ติดต่อมาจากการสัมผัสอูฐ และสงครามในซีเรีย รีบตัดสินใจทันทีไม่รอ ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องมากๆ จำนวนนักท่องเที่ยวอียิปต์แตะ 15ล้านคนในปี 2019 (ประเทศไทยแรงกว่ามีนักท่องเที่ยวมากถึงเกือบ 40ล้านคนในปี 2019) ขึ้นจาก 2018 ถึง 21% ซึ่งตัวเลขสูงสุดที่อียิปต์เคยทำไว้คือ ปี 2010 ที่จำนวน 14.8 ล้านคน และถ้าไม่มีเรื่องโรคระบาด Covid-19 ปี 2020 จะเป็นปีทองท่องเที่ยวของอียิปต์เลยทีเดียว
ทีแรกจะไปทัวร์เพื่อความปลอดภัย รวมกลุ่มไว้ก่อน แต่จับพลัดจับพลูหลุดทัวร์ เลยได้ไปเองกับเพื่อน 2สาว เป็น private tour ที่ติดต่อเองที่อียิปต์ มีคนขับและไกด์ส่วนตัว จัดตารางเที่ยวเองอย่างเข้มข้น 11 วันเต็ม ราคาพอๆกับซื้อทัวร์รายหัวคณะ 20คนจากไทย ก็เป็นอีกครั้งที่ทำราคาดีและอัดโปรแกรมได้แน่นกว่าเที่ยวทัวร์
จากที่เพ้อฝันอย่างเดียว รู้แต่ว่าอยากไป แต่พอจะไปจริงและต้องเลือกตารางที่จะไปเอง เพิ่งรู้ว่าเราไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับประเทศเขาจริง นอกจากรูปปิรามิด มัมมี่และสพิงซ์ที่ดูมาจากหนังและอ่านการ์ตูนเรื่องคำสาปฟาร์โรห์มาในต้องเด็ก (รู้เลยว่าคนเขียนอายุเท่าไหร่) ความรู้จากมโนภาพนั้นไม่ช่วยในการเตรียมตัว จึงติวเข้มด้วยการหาหนังสือประวัติศาสตร์ 5,000ปีมาอ่านแบบเร่งด่วน 207 หน้า แบบอ่านรวดเดียวจบ อารมณ์ติวสอบ นอกจากทำให้คุยกับบริษัืทัวร์ที่อียิปต์รู้เรื่อง ภายหลังรู้สึกมีประโยชน์มากตอนเดินทางจริง เพราะฟังไกด์เล่ารู้เรื่อง เรียงเวลาได้ old kingdom middle kingdom และ new kingdom และเข้าใจวัฒนธรรมต่างๆที่เข้ามามีอิทธิพลต่ออียิปต์ในช่วงต่างๆว่ามาจากไหน ทำให้อินมากขึ้นกว่าการดูหินและซากหินเฉยๆ แนะนำเลยว่าควรหามาอ่านจะทำให้การเที่ยวสนุกขึ้นอีกมากโข
แผนการเดินทางเริ่มจาก Cairo ไคโร ขึ้นไป Alexandria อเล็กแซนเดรียและบินลงใต้เพื่อล่องเรือขึ้นตาม Nile River แม่น้ำไนล์ จากนั้นบินกลับจาก Luxor ลักซอร์ วกกลับมาเที่ยวไคโร และด้วยความที่เป็นคนหลงไหลทะเลทราย จึงต้องเจียดเวลาไปเยี่ยม White Desert ทะเลทรายสีขาวซึ่งมีหนึ่งเดียวในทวีปแอฟริกา สำหรับคนที่ชอบธรรมชาติพลาดไม่ได้ ถือว่าสวยงามแปลกตาทีเดียว อ่านและชมภาพต่อเกี่ยวกับ White Desert ที่ https://www.gooutseeworld.com/post/white-desert-egypt
โดยเราใช้บริการรถเช่าพร้อมคนขับและไกด์ส่วนตัวเพื่อความคล่องตัวในการเดินทาง สำหรับตัวเองการไปเที่ยวในแต่ละประเทศ/สถานที่ สิ่งสำคัญเหนือสิ่งอื่นใดในการเที่ยวคือการเลือกวิธีเที่ยว มิฉะนั้นจะเสียดายเวลาและโอกาสที่ได้ไป ใช่ว่าคนเราจะมีโอกาสได้ไปแก้ตัวที่เดิม 2-3ครั้ง สำหรับประเทศท่องเที่ยวจ๋ามากๆ ประเภท "touristic" อย่างอียิปต์ ต้องเลือกวิธีไปแบบจัดการล่วงหน้า pre arrangement จะได้ไม่ต้องคอยเจรจาเรื่องรถในการเดินทางให้วุ่นวาย ใส่ชื่อสถานที่ที่อยากไปทั้งหมดพร้อมโรงแรมที่เราเลือกสรรแล้วส่งให้เขาตีราคา 2-3เจ้า ข้อควรระวังคือเราต้องคอยคอนโทรลระยะเวลาการเที่ยวเองไม่ให้รวบรัดหรือหลุดออกนอกโปรแกรมมากไป เขาจะคอยชี้ชวนให้เราเข้าร้านซื้อของเพื่อรับค่าคอม ถ้าเราอยากไปก็ไป แต่ถ้าไม่อยาก อยากใช้เวลาที่ไหนนานๆก็คุยกับไกด์ให้รู้เรื่องแต่แรกก็จบ
ที่สนามบินไคโรจะแปลกหน่อยไกด์สามารถเข้ามารับได้ถึงประตูเครื่องบินเลยทีเดียว และพาไปตรวจคนเข้าเมืองและรับกระเป๋าขึ้นรถกับเราได้ในสนามบิน ดูเป็นวีไอพีมาก แต่พอออกจากเขตสนามบินเราจะเริ่มรู้สึกถึงความวุ่นวายไร้ระเบียบของไคโรทันที บ้านเมืองดูแออัด เต็มไปด้วตึกแถว ที่ดูเหมือนสร้างไม่เสร็จ (ที่เป็นเช่นนี้เพราะจะได้ไม่ต้องเสียภาษี) ทั้งฝุ่นทรายและขยะปลิวเต็มถนนไม่มีความน่าอยู่ รถพาเราไปแวะฝากกระเป๋าที่โรงแรมและเข้าห้องน้ำล้างหน้าหน่อย เพราะโรงแรมเราอยู่ติดหน้ากีซ่าเลย สามารถมองเห็นมหาปีรามิดได้จากสระว่ายน้ำหน้าห้องอาหาร เช้าแรกที่เหยียบถึงอียิปต์ก็ไปเที่ยวกีซ่าซึ่งเป็นที่ตั้งของมหาปีรามิดทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาอรัมบท เรียกว่าแค่เช้าแรกก็ถึง highlight แล้ว
Giza - Great Pyramid of Egypt
มหาปีรามิดแห่งกีซ่ายิ่งใหญ่สวยงาม อลังการมากสมกับที่เป็น 1ใน 7สิ่งมหัศจรรย์ของโลก หินที่ฐานก้อนหนึ่งก็สูง 1.60เมตร สูงเกือบเท่าตัวคนแล้ว มหาปีรามิดของกีซ่าเป็น 1 ใน 7สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ถูกสร้างขึ้นในยุค Old Kingdom โดยฟาร์โรห์คุฟุ (Pharaoh Khufu) ราว 2,550ปี ก่อนคริสตกาลเป็นปีรามิดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่มีการสร้างมา สูง 147เมตร และใช้เวลาสร้างราว 20ปีและหินถึง 2.3ล้านก้อนซึ่งหินแต่ละก้อนหนัก 2.5-15ตัน โดยพิ้นผิวของปีรามิดนั้น เดิมถูกฉาบให้ดูเรียบทั้งหมด แต่ปัจจุปันส่วนนอกได้หลุดไปส่วนใหญ่เผยให้เห็นเป็นหินที่เรียงเป็นชั้นไว้ ส่วนที่ฉาบไว้ยังเหลือให้เห็นอยู่บางส่วน ปีระมิดสร้างขึ้นเพื่อเป็นหลุมฝังศพของฟาโรห์ ฉะนั้นความใหญ่โตอลังการจึงแสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของผู้สร้าง ปัจจุปันยังมีปีรามิดอยู่ราว 130แห่งในอียิปต์ เฉพาะที่กีซ่านี้ปีรามิดที่ใหญ่เป็น 3 อันดับแรกก็อยู่ที่นี่ทั้งหมด ไล่เรียงจากลำดับ อันดับแรกสร้างโดยฟาร์โรห์คุฟุ (Pharaoh Khufu) อันดับที่ 2 ฟาโรห์คาเฟร (Pharaoh Khafre) และอันดับที่ 3 ฟาโรห์เมนคุเร่ (Pharaoh Menkaure) ทั้งหมดอยู่ในราชวงศ์เดียวกัน
สำหรับคนที่สงสัยว่าข้างในปีรามิดเป็นอย่างๆ แนะนำให้เข้าไปชมในมหาปีรามิด การเข้าไปในตัวปิรามิดไม่รวมอยู่ในค่าเข้าชม ต้องซื้อตั๋วเพิ่ม ซึ่งเราก็รีบจัดเพื่อเข้าไปในตัวปีรามิดอย่างไม่รีรอ วาดฝันว่ามันต้องดูยิ่งใหญ่อลังการเหมือนที่เห็นในหนัง แต่ผิดคาดมาก
ด้านในเป็นทางเดินขึ้นแคบๆลาดชันมาก สูงประมาณ 1 เมตรนิดๆในช่วงแรก ทำให้เราต้องไต่ขึ้นไปด้วยการโน้มตัวราบกับพื้นไปด้วย (แนะนำฝึกโยคะไว้ก่อนไปปีรามิด) ด้วยความแคบทำให้สวนกันลำบาก แต่ก็สวนกันตลอด อากาศก็มีน้อย ไม่เหมาะกับคนที่ข้อไขไม่ดี และกลัวที่แคบ รอบๆผนังเป็นผนังหินที่ไม่มีการแกะสลักหรือทาสีใดๆ บันไดที่มีอยู่คือบันไดที่ทำขึ้นมาใหม่ โดยเอามาพาดให้ไต่เป็นทางลาด 45 องศา (คือปีรามิดไม่ได้มีไว้ให้คนมาเดินเที่ยวแต่เป็นที่เก็บศพ) ไต่จนเหงื่อตกประมาณ 15-20 นาที และสวนกันอย่างทุรักทุเล ในที่สุดก็ถึงห้องเก็บศพ ที่เป็นห้องขนาดราว 5x5 เมตรมีโลงหินที่เปิดฝาไว้ โลงก้านในเห็นว่าเอาไปไว้ที่พิพิธภัณฑ์ รอบๆเป็นผนังหินเรียบๆ เพดานสูงประมาณ 3 เมตร อยู่แล้วอึดอัด เราดูรอบๆ ไม่ถึงนาทีก็กลับออกมายืนถ่ายรูปที่ทางเข้าห้องเก็บศพ ซึ่งผนังด้านนอกมีจารึกอักษร hieroglyphics ชัดเจนเหมือนมีคนเพิ่มมาสลักเมื่อวาน เป็นประสบการณ์ที่ใครเรียกให้เข้าปีรามิดอีกไม่เข้าแล้ว เอาเป็นว่าปีระมิดมีไว้ให้ดูจากด้านนอกแล้วกัน
รอบปีรามิดของฟาร์โรห์คุฟุ นี้มีหลุมยาวที่มีรูปทรงคล้ายเรืออยู่ 4 แห่ง เดิมพบเพียง 3 และหลุมที่ 4 ถูกค้นพบโดยนักโบราณคดีชาวอียิปต์ในปี ค.ศ. 1954 ถูกปิดปากหลุมไว้ด้วยหินหนัก 15 ตันตอนที่ขุดเจอพบท่อนไม้ 1,224ท่อนในหลุม ท่อนที่ยาวที่สุดยาวถึง 23เมตร ใช้เวลาถึง 14ปีในการประกอบไม้เหล่านี้กลับมาเป็นเรือที่ถูกจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์เรือที่ตั้งอยู่หลังปีรามิด เรือนี้มีอายุถึง 4,500ปีทีเดียว และในปี 2011 ก็มีการขุดพบหลุมแบบเดียวกันนี้อีกซึ่งเชื่อว่าเป็นหลุมที่ 5 ขณะนี้นักโบราณคดีได้เข้าศึกษาแต่ไม่เปิดให้คนทั่วไปเข้าชม ยังมีที่อีกมากมายในอียิปต์ที่นักโบราณคดียังขุดเจออยู่เรื่อยๆ แต่ต้องรอการยืนยันจากทางการและยังไม่เป็นที่รู้โดยทั่วไป ด้วยความที่มีการค้นพบกันไม่ขาดสายในอียิปต์จึงมีนักโบราณคดีอยู่มากมาย โดยเฉพาะในลักซ์ซอร์รอบหุบเขาแห่งกษัติย์ ที่ยังมีข่าวการขุดพบอยู่เสมอ
อ่านเกี่ยวกับหุบเขาแห่งกษัติย์ https://www.gooutseeworld.com/post/valleyofthekings
เมื่อชมพิพิธภัณฑ์เรือแล้ว ก็ขึ้นรถเพื่อขึ้นไปที่จุด view point เพื่อดูปีรามิดจากระยะไกล เป็นมุมสวยที่จะมองเห็นปีรามิดทั้ง 3 กลางทะเลทราย แต่จะเห็นได้ว่าพอสิ้นสุดเขตปีรามิดจะเป็นเมืองสมัยใหม่ บริเวณกีซ่าเป็นพื้นที่สงวนจึงไม่มีคนท้องถิ่นเข้ามาอาศัย มีแต่คนที่ได้รับอนุญาติเข้ามารับจ้างเช่าอูฐ เช่าม้า หรือขายของที่ระลึกเท่านั้น ไม่มีร้านกาแฟหรือร้านอาหารให้นั่งดื่มด่ำบรรยกาศ คาดว่าก็ไม่มีใครอยากนั่งแช่ด้วยเพราะไม่มีต้นไม้ให้ร่มเงาเลย ช่วงที่เรามาคือเดือนธันวาคมเป็นช่วงที่น่าเที่ยวที่สุด อากาศเย็นช่วงเช้าและหลังพระอาทิตย์ตกอยู่ราว 17องศา เวลากลางวันก็แตะ 30 องศา
Sprinx
Sprinx สฟิงซ์เป็นสัตว์ครึ่งคนในตำนาน อันที่ปรากฎอยู่บนโปสการ์ดทั่วโลกนี้คือ สฟิงซ์ของฟาร์โรห์คาเฟร(Pharaoh Khafre) ซึ่งเป็นโอรสของฟาร์โรห์คุฟุ ผู้สร้างมหาปีรามิด สร้างขึ้นในช่วง 2,520 ปีก่อนคริสตกาล เชื่อว่าสฟิงซ์เป็นผู้พิทักษ์และขจัดวิญญาณร้ายจึงนิยมสร้างกันในบริเวณหลุมฝังศพของกษัติย์ ปัจจุปันยังเห็นวิหารที่ใช้ในการเตรียมศพที่ตั้งอยู่ติดกับสฟิงซ์ได้ในสภาพเดิม ตรงด้านหน้าทางเข้าพื้นที่ของปีรามิดฟาร์โรห์คาเฟร ปีรามิดนี้มีความลาดชันมากกว่ามหาปีระมิดกีซ่า มหาสฟิงซ์นี้เป็นสฟิงซ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก แกะสลักจากหินก้อนขนาดมหึมาเพียงก้อนเดียว โดยมีความยาวของลำตัวที่ 73.5 เมตร สูง 21 เมตรใบหน้ามีความยาว 5 เมตร จมูกยาว 2 เมตร
เรื่องเล่าของสฟิงซ์มีหลายเรื่อง และมีเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับการค้นพบมหาสฟิงซ์ เกิดขึ้น 1,000ปีหลังยุคฟาร์โรห์คาเฟร มหาสฟิงซ์ถูกพายุทรายพัดทับถมจนเหลือให้เห็นเพียงส่วนหัว เล่ากันว่ามีเทพเจ้ามาเข้าฝัน เจ้าชายธุตโมส บอกให้พระองค์นำทรายที่ทับถมมหาสฟิงซ์ออก หากทำตามจะส่งผลให้ พระองค์ได้เป็นฟาโรห์ที่ยิ่งใหญ่ มหาสฟิงซ์ จึงได้รับการขุดและบรูณะเป็นครั้งแรก และเจ้าชายธุตโมสก็ได้ขึ้นครองอียิปต์เป็น ฟาโรห์ธุตโมซิสที่ 4 (Thutmosis IV) แห่งราชวงศ์ที่ 18 นับเป็นฟาโรห์ที่ยิ่งใหญ่พระองค์หนึ่ง
ชาวกรีกซึ่งเข้ามามีบทบาทในอียิปต์ช่วง New Kingdom ราว 300ปีก่อนคริสตกาล เชื่อว่าสฟิงซ์เป็นสัตว์แห่งปัญญา ฉลาด หลักแหลมและรอบรู้ในเรื่องราวต่างๆ และเป็นเพศหญิง ตำนานมีอยู่ว่า สฟิงซ์มีหน้าที่ปกป้องเมืองของชาวธิปส์ ด้วยนิสัยของสฟิงซ์ที่ขี้เล่น สฟิงซ์มักคอยถามปัญหาผู้ที่ผ่านไปมา ซึ่งเรียกกันว่า ปริศนาแห่งสฟิงซ์(The Riddle of the Spinx) หากใครตอบได้นางก็จะปล่อยไปโดยไม่ทำร้าย แต่ถ้าตอบผิดก็จะสังหารทันที ทำให้ชาวเมืองธีปส์หวาดผวามาก จนวันหนึ่ง อีดิปุสแห่งโครินท์เดินทางผ่านเข้ามาในเมืองธีปส์ สฟิงซ์กระโจนออกมาและเอ่ยปริศนา "อะไรเอ่ย ยามเช้าสี่ตีน ยามเที่ยงสองตีน ยามเย็นสี่ตีน?" อีดิปุสรู้คำตอบในทันที เขาตอบนางว่า "มนุษย์ คือคำตอบที่ท่านถาม เมื่อยามแรกเกิดคลานด้วยเข่าและมือ เดินสองขาเมื่อวัยฉกรรจ์ และใช้ไม้เท้าพยุงตัวในยามสายันห์แห่งชีวิต" สฟิงซ์ได้ยินดังนั้นก็อับอายว่าตนซึ่งเป็นสัตว์แห่งสติปัญญาได้พ่ายแพ้แก่มนุษย์เสียแล้ว นางกรีดร้องด้วยความเจ็บใจและหุบปีกกระโจนลงจากหน้าผา ฆ่าตัวตายในท้องทะเล หลังจากนั้นชาวเมืองได้เชิญอีดิปุสขึ้นเป็นกษัตริย์แทนกษัตริย์องค์ก่อนที่สวรรค และให้สมรสกับโจคัสตา ราชินีม่ายของกษัตริย์องค์ก่อน ต่อมาความจริงจึงปรากฏว่าโจคัสตานี้เองที่เป็นมารดาผู้ให้กำเนิดอีดิปุส แต่ก็หลังจากที่นางได้ตกแต่งเป็นภริยาของอีดิปุสแล้ว โชคชะตาย่อมเล่นตลกกับอีดิปุส ชีวิตของเขาน่าขมขื่นน้อยลงถ้าได้ตายเพราะตอบคำถามสฟิงซ์ไม่ได้.. ตำนานกรีกสนุกซ่อนเรื่องให้คิด ไว้ไปหามาอ่านเพิ่ม
Saqqara
Saqqara ซัคคาร่าเป็นเมืองที่มีปิรามิดที่ก่อสร้างในยุคแรกๆ (2,700ปี ก่อนคริศกาล) โยมีปีรามิดแบบ Step Pyramid ปิรามิดแบบแรกก่อนที่จะมีปิรามิดสามเหลี่ยมที่เราคุ้นตากันในปัจจุปัน ผู้เป็นต้นคิดในการสร้างปีรามิดคือมหาอมาตย์ฮิมโฮเทป (Himhotep) เพื่อเป็นสุสานของฟาโรห์โซเซอร์ (Djoser หรือ Djeser หรือ Zoser แล้วแต่สะกด) ซึ่งครองราชย์ยาวนานถึง 38ปี เดิมที่สุสานนี้จะมีเพียง 1 ชั้นสร้างด้วยหินปูนเรียบๆสีขาวยาว 109 x 121 เมตร เพื่อปิดปากหลุมศพใต้ดิน ฟาโรห์โซเซอร์เป็นคนที่มีรสนิยมเรียบหรูสไตล์มินิเมลลิสต์เกินยุคทีเดียว แต่เมื่อสร้างชั้นแรกเสร็จฟาโรห์โซเซอร์ก็ยังแข็งแรงดี ไม่มีวีแววว่าจะตายจึงสร้างชั้นต่อไปให้สูงขึ้น และไปเรื่อยๆด้วยแนวคิดแรก จนถึงขั้นสุดท้ายชั้นที่ 6ฟาโรห์โซเซอร์จึงสิ้นพระชนน์ ปีรามิดนี้จึงจบที่ความสูง 62.5 เมตร และปีรามิดนี้กลายเป็นแม่แบบของการสร้างปิรามิดตั้งแต่นั้นมา ที่สร้างแถบนี้เพราะใกล้กับเมืองเมมฟิสที่เป็นเมืองหลวงในยุคนั้น
ด้วยความที่ใกล้กับเมืองเมมฟิสที่เป็นเมืองหลวงในช่วง Old Kingdom รอบๆบริเวณนี้จึงมีหลุมศพอยู่มาก เราเดินลงไปเยี่ยมสุสานใต้ดินหลักซึ่งเรียบๆไม่ค่อบมีอะไรและรอบๆนิดหน่อย ไกด์ก็มาสะกิดว่าติดต่อคนเฝ้าแถบนี้จะพาไปดูสุสานที่ไม่เปิดให้เข้าชม เราเคยเจออารมน์นี้ที่ราชวังในอินเดียมาแล้วซึ่งส่วนใหญ่น่าสนใจเลย คนเฝ้าเขาจะหาลำไพ่พิเศษจากการแอบให้เยี่ยมชม จึงรีบตามไปดู หลุมที่เปิดมีความสมบูรณ์มากและมีจิตรกรรมฝาผนังที่สวยมากๆ ไม่น่าเชื่อว่ามันมีอายุกว่า 3-4พันปีแล้ว
Memphis
UNESCO ยกเมมฟิสขึ้นเป็นมรดกโลกพร้อมกับกีซ่าในปี คศ 1979 เมืองเมมฟิสเป็นเมืองหลวงในยุค Old Kingdom อียิปต์โบราณ ตั้งอยู่บนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์ ยุครุ่งเรืองจะมีโรงแกะสลักต่างๆมากมาย เพราะในเมืองที่มีสถานที่บูชาเทพมากมาย (อารยธรรมแบบนี้เห็นโดยทั่วไป ที่ใดที่ผู้คนมีอันจะกินจะมีวัดวาอารามขึ้น เหมือนอิ่มท้องแล้ว ต้องได้รับการพึ่งพาทางใจด้วย) แต่เสื่อมถอยลงเมื่อเกิดการย้ายเมืองหลวงไปเมืองอเล็กซานเดรียที่อยู่ติดกับทะเล เพราะอียิปต์ขึ้นเป็นอาณานิคมของกรีก การขยายเส้นทางการค้าโดยเดินเรือในมหาสมุทรกับชาวกรีกมาแทนที่ หลังเมืองถูกทิ้งและผ่านไปกว่า 2 พันปีที่เมืองถดถอยและมีการปล้นขโมยของนับครั้งไม่ถ้วนโดยเฉพาะตามหลุมศพ สิ่งที่เหลืออยู่จึงมีจำกัดมาก วันนี้เมืองเมมฟิสไม่มีอะไรให้ดูเท่าไหร่ นอกจากพื้นที่ที่เก็บวัตถุโบราณบ้างชิ้น ถ้าไม่ได้ไปก็ไม่เสียดายนะ เข้าไปดูที่พิพิธภัณฑ์ไคโรจะครบกว่า
สิ่งที่น่าสนใจที่สุดและเป็น highlight ที่ได้เยี่ยมชมที่นี่คืออนุเสาวรีย์ของ Ramesses VI Nebmaatre-Meryamun ฟาโรห์รามซิสที่ 6 ซึ่งมีกี่สลักชื่อของฟาโรห์ไว้ใหญ่มาก เหตุเพราะมีฟาโรห์อยู่หลายยุคใช้วิธีลบชื่อของคนอื่นแล้วสลักชื่อตัวเองทับเพื่อจะได้ไม่เสียเวลาแกะสลักใหม่ รามซิสที่ 6 ซึ่งเป็นฟาโรห์ที่ชอบทำเช่นนั้นเหมือนกัน และชื่นชอบการสร้างรูปปั้นของตนเองมาก เพราะรู้สึกว่าตนเองเป็นฟาโรห์ที่ยิ่งใหญ่ แม้ว่าในช่วง 8ปีที่พระองค์ปกครอง อียิปต์จะเสียดินแดนสำคัญมากมายไป พระองค์กลัวคนรุ่นหลังจะทำเช่นเดียวกับที่ทรงทำกับรูปปั้นคนอื่นจึงแกะสลักชื่อตนคร่อมไว้ เหมือนการใส่ลายน้ำบนภาพถ่ายในปัจจุปันเลย ที่คนอื่นจะไม่เอาไปใช้ ส่วนเวปเรายินดีที่จะให้เผยแพร่ภาพนะค่ะ เพราะถือเป็นการแบ่งปัน แต่ฝากไม่ไปใช้ในด้านการค้า
Alexandria
ด้วยความที่ได้ดูตำนานของ Cleopatra คลีโอพัตราและ Mark Anotony มาร์ค แอนโทนีมาหลายเวอร์ชั่น จึงอยากไป Alexandria อเล็กซานเดรียมากเป็นพิเศษ เมืองนี้เดิมเป็นหมู่บ้านประมง Alexandra the Great อเล็กซานดร้ามหาราชซึ่งเป็นกษัติย์ชาวกรีกพากองเรือมาตีอียิปต์จากที่นี่ จากนั้นเลยสร้างเมืองนี้เป็นเมืองหลวงใหม่เพื่อควบคุมเส้นทางทางการค้า ในราว 330ปีก่อนคริสตกาล
Citadel of Qaitbay
Ptolemy I ฟาร์โรห์ปโตเลมีที่ 1 ซึ่งเป็นฟาร์โรห์เชื้อสายกรีกคนแรกและเป็นทหารเอกของอเล็กซานดร้ามหาราชเล็งเห็นความสำคัญทางการค้าที่ตั้งอยู่ปากแม่น้ำไนล์ ทะเลแดงและทะเลอาราเบีย แต่เส้นทางเดินเรือนี้ค่อนข้างสับสนเพราะไม่มีจุดสังเกตุทางทะเล ทำให้เกิดการหลงทางเสมอ จึงได้สร้างประภาคารสูงถึง 100เมตร (สูงประมาณเทพีเสรีภาพ) ขึ้นเพื่อเป็นหลักให้คนเดินเรือมีหลัก Pharos Lighthouse ประภาคารฟาโรส เป็น 1ใน7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ มีอายุอยู่ได้ยาวนานถึง 1,600 ปี จนกระทั่งในประมาณศตวรรษที่ 13-14 เกิดแผ่นดินไหวทำให้ประภาคารพังลงมา ปัจจุบันอิฐที่เหลือถูกนำไปก่อสร้าง Citadel of Qaitbay ซึ่งเป็นป้อมบริเวณใกล้เคียง สร้างโดย SultanAl-Ashraf Sayf al-Din Qa'it Bay สุลต่านที่ครองอียิปต์ ในปี ค.ศ. 1477 ป้อมนี้อยู่บนเกาะฟาโรสซึ่งเป็นจุดที่อเล็กซานดร้ามหาราชตั้งกองกำลังเมื่อครั้งเหยีบเข้าอียิปต์เป็นครั้งแรก วิวทะเลเมดิเตอร์เรเนียนจากป้อมนี้สวยมาก น้ำทะเลสีฟ้าเทอร์คอยซ์ชวนฝัน และลมแรงมากๆ
Pompey's Pillar
Pompey's Pillar เสาหินปอมเบย์ สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ Augustus Diocletian ผู้เป็นจักรพรรดิคนแรกของโรมัน มีความสูง 26.8เมตร เป็นเสา monolithe สร้างด้วยหินก้อนเดียวแกะสลักสไตล์โรมันที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นเสาโรมันหนึ่งเดียวในอียิปต์ สร้างในช่วง ค.ศ. 298-302
ปัจจุปันเสาหินบอมเบย์ วิหารแห่งอเล็กซานเดรีย ตั้งอยู่ท่ามกลางหมู่ตึกคอนโด ถือว่าย่านแถวนี้ดีนะ มีโบราณสถานให้ดูด้วย เหมือนตั้งอยู่บนสตุรัสกลางเมืองในยุโรปเลย แตาสภาพบ้านรอบๆดูเก่าและไม่สมบูรณ์ตามแบบอียิปต์สมัยใหม่ เพราะต้องการหลีกเลี่ยงภาษีโรงเรือน
The Library of Alexandria
หอสมุดแห่งอเล็กซานเดรีย ซึ่งเป็นหอสมุดแห่งแรกของโลกสร้างขึ้นในยุคของ Ptolemy I ฟาร์โรห์ปโตเลมีที่ 1 (จะว่าไปปโตเลมีที่ 1 นี้เป็นบุคคลที่น่าสนใจมาก แนะนำให้ไปอ่านต่อ เพราะนอกจากจะเป็นทหารเอกที่ติดตามอเล็กซานดร้ามหาราชแล้ว เขายังให้คำแนะนำและร่างแบบแผนการปกครองของเมืองต่างๆที่ยืดได้ในยุคนั้น) ด้วยการมองการณ์ไกล เขาสั่งให้สร้างหอสมุดนี้ขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของสถาบัน Mouseion ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อการพัฒนาศิลปะ 9 แขนงตามเทพี Muses ทั้ง 9
ว่ากันว่าหอสมุดนี้มีม้วน Scroll มากถึง 400,000 ม้วน เทียบเท่าหนังสือ 1แสนเล่มในปัจจุปัน (สมัยโบราณหนังสือจะเขียนลงบนหนังสตัว์หรือกระดาษปาปีรุสแล้วม้วนเก็บไว้ คนที่จะอ่านก็มาคัดกลับไปอ่านส่วนตัว) หอสมุดนี้เป็นแหล่งรวมนักปราญ์และผู้ทรงความรู้ยาวนานหลายร้อยปี จนถึงยุค Ptolemy VII ซึ่งมีการต่อสู้ภายในอียิปต์ยาวนานทำให้เริ่มเสื่อม และถูก Julius Caesar จูเลียต ซีซาร์แห่งโรมัน เผาบางส่วนในช่วง 48ปีก่อนคริศกาล จนถึงปี ค.ศ. 275 ถูกเผาจนหมดไม่เหลือซากจากเหตุจลาจล
Bibliotheca Alexandrina/The new library of Alexandria
หอสมุดแห่งอเล็กซานเดรียอันดั่งเดิมเสียหายไปหมดแล้ว แต่ชาวโลกยังไม่ลืมถึงปรัชญาที่สร้างมันขึ้น หอสมุดคือแหล่งความรู้และอารยธรรมซึ่งก่อให้เกิดมนุษย์ชาติ หอสมุดแห่งอเล็กซานเดรียใหม่ Bibliotheca Alexandrina จึงถูกสร้างขึ้นใหม่ใกล้กับจุดเดิม เสร็จในปี 2002 ด้วยค่าก่อสร้าง 220ล้านเหรีญสหรัฐด้วยเงินระดมทุนจาก UNESCO ซึ่งมีมัตติให้สร้างตั้งแต่ปี ค.ศ. 1988 แต่ติดปัญกาหลายด้านและสุดท้ายประกวดแบบได้ผู้ชนะแบบเป็นบริษัทสัญชาตินอร์เวย์ Snøhetta จากผู้เข้าร่วมประกวดแบบถึง 14,000ราย ซึ่งในทีมมีสถาปนิก 10คน จาก 6ประเทศร่วมออกแบบ 6 สิ่งที่โดดเด่นมากคือการออกแบบหน้าต่างที่เป็นรูปเหมือนเปลือกตา เพื่อป้องกันแสดงแดดที่ร้อนแรงของอียิปต์ที่จะส่องตรงลงมา แต่เปิดช่องด้านหน้าที่หันสู่ทะเลให้แสงเข้าด้านข้างเพื่อลดการใช้ไฟให้แสงสว่างเป็นการประหยัดไฟ ในหอสมุกนี้มีหนังสือถึง 8ล้านเล่ม เป็นหอสมุดที่ทันสมัยมาก มีหนังสือ digital ให้เปิดอ่านและมีพิพิธภัฑณ์ถึง 3 แห่งในตัวตึก มีไกด์ทัวร์พาชมเป็นรอบๆ คนที่มาเยี่ยมเมืองนี้ไม่ควรพลาด (www.bibalex.org) เสียดายที่เรามีเวลาน้อยไปนิดในเมืองนี้และมาเยี่ยมเป็นที่สุดท้ายของวันจึงมีเวลาไม่พอที่จะชมพิพิธภัณฑ์ทั้งหมดอย่างละเอียด
Catacombs
Catacombs สุสานแห่งอเล็กซานเดรีย คาตาโกมบ์ เป็นสุสานใต้ดินและเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง สุสานนี้ลึกลงไปใต้ดินถึง 100ฟุตแบ่งออกเป็น 3 ชั้น สุสานนี้เป็นของขุนนางและคหบดีในยุคช่วงศตวรรษที่ 2-4 บริเวณรอบๆผนังจะเห็นการตกแต่งสไตล์กรีกและโรมันอย่างเห็นได้ชัด เพื่อป้องกันการถูกโจรเข้ามาจรกรรม สุสานนี้จึงถูกขุดลึกและมีทางเข้าไม่เด่นชัด ญาติที่มาทำพิธีมักนำอาหารมาด้วยและทิ้งภาชนะอาหารซึ่งทำด้วยดินเผาไว้ตรงปากทางเข้า นานวันเข้าก็สูงเป็นกองพะเนินปิดทางเข้า ภายหลังรอบๆบริเวณนี้ถูกทิ้งร้างและกลายเป็นบ้านเรือนที่มีคนอยู่ต่อมาอีกอาศัยมาหลายชั่วคน สุสานนี้ถูกปิดตายและหลงลืมไปตามกาลเวลา ถูกค้นพบในปีคศ 1900 เพราะลาของชาวบ้านตกลงมาในหลุม สภาพจึงค่อนข้างสมบูรณ์
Alexandria today
เมืองอเล็กซานเดรียในวันนี้ไม่เหมือนที่คิดไว้เลยแม้แต่น้อย ไม่มีความเป็นอียิปต์แบบที่เราคิดดูเป็นยุโรปมากกว่า ในเมืองมีอนุเสาวรีย์ ตึกทรงตะวันตกและรถรางเหมือนเมืองลิสบอน ประเทศโปรตุเกสมาก
ในตัวเมืองจะดูโทรมๆหน่อย เห็นไกด์เราบอกว่าปกติอียิปต์จะแทบไม่มีฝนเลย จำนวนฝนตกเฉลี่ย 80mm/ปี ในเมืองอเล็กซานเดรียจะมากหน่อยเป็น 200mm/ปี เทียบกับไทยที่ 1,500mm/ปี เราโชคดีมากที่เจอฝนตกที่นี่แบบแรงเลย (ทีหลังควรไปเที่ยวประเทศที่แห้งแล้งบ่อยๆ ฝนจะได้ตกที่นั่น) หลังฝนตกดูชาวบ้านจะดีใจออกมาเดินเล่นกัน แต่ทำให้เมืองดูสกปรกมากขึ้น
สิ่งที่จำได้ดีที่สุดในการมาเมืองนี้สำหรับเราน่าจะเป็นร้านอาหารทะเลแบบบ้านๆ ที่ให้เราเลือกปลาเอง เขาขายชั่งน้ำหนักแล้วเอาไปปรุงโดยทอดน้ำมัน หรือย่างแล้วมากินกับน้ำจิ้มมะนาว และน้ำซุปปลาร้อนๆที่เสริฟในถ้วยแก้ว พร้อมเครื่องเขียงแบบอียิปต์ที่เป็นผักสดและแป้งเหมือนแป้งพิต้าของอิตาลี รสชาติอร่อยเลยทีเดียว
Aswan
เนิ่องจากเราเลือกส่งืางที่สั้นที่สุดในการเดินเรือล่องแม่น้ำไนล์ Nile Cruise จึงต้องบินไปลงอัสวาน เริ่มต้นการลงเรือจากเมืองอัสวาน และได้ไปเยี่ยมชมเขื่อนอัสวานแบบแถมๆ เพราะมันไม่มีอะไรให้ชมเลย เป็นถนนและ 2 ข้างทางเป็นน้ำขนาบ ซึ่งก็ไม่ได้มีทิวทัศน์พิเศษอะไร แต่ได้ความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์สำคัญช่วงหนึ่งของอียิปต์
เขื่อนอัสวานมีความสำคัญ เป็นตัวควบคุมน้ำจากแม่น้ำไนล์ไม่ให้ไหลท่วมในหน้าน้ำหลาก ซึ่งในประวัติศาสตร์กว่า 5,000ปีของอียิปต์จะเห็นว่าชาวอียิปต์ต้องต่อสู้กับภัยแล้ง และน้ำท่วมเสมอมา ในอดีตรัฐจะเก็บภาษีจากประชาชนตามความสูงของน้ำในแม่น้ำไนล์ เรียกการวัดนี้ว่า nilometer ถ้าน้ำสูงแสดงว่าอุดมสมบูรณ์ ภาษีก็จะสูงตามระดับน้ำ เขื่อนนี้สร้างเสร็จในปี 1971 โดยรัฐบาลอังกฤษและฝรั่งเศสเป็นผู้ออกเงินเพื่อเป็นการแลกกับสิทธิ์ในการเดินเรือข้าม Suez Canal คลองสุเอต คลองนี้เป็นการขุดทางน้ำเพื่อทะลุระหว่างทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ถึงทะเลแดง ซึ่งจะร่นระยะทางเดินเรือจากลอนดอนได้ถึง 8,900กิโลเมตรเลยทีเดียว มีมูลค่าทางเศฐษกิจมหาศาลสำหรับชาติตะวันตกในปี 1971 ที่การเดินทางทางอากาศยังไม่เฟื่องฟูเท่าปัจจุปัน
การสร้างเขื่อนอัสวานนี้ทำให้ต้องมีการปล่อยให้วิหารและสถานที่สำคัญทางโบราณคดีต้องจมน้ำไป มีการย้ายวิหารสำคัญขึ้นในที่สูงขึ้น เช่น วิหารที่อาบูซิมเบล ซึ่งถือเป็นงานมหากาฬย์ต้องใช้เทคโนโลยีและความร่วมมือของนานาประเทศร่วมกันย้ายในยุคนั้น
Philae
ที่อัสวานนี้ จะเยี่ยมชม วิหาร Philae ที่อยู่บนเกาะกลางน้ำ วิหารนี้สร้างขึ้นเพื่อเทพีไอซีส ซึ่งเป็นเทพที่สำคัญมากของอียิปต์ Isis ไอซีสเป็นผู้ชุบชีวิต Osiris เทพโอซีริส ผู้ดูแลโลกหลังความตาย เป็นผู้ตัดสินว่าใครได้ไปสวรรค์หรือนรก มีผิวเป็นสีเขียว สวมมงกุฎเหมือนฟาโรห์ ถือไม้คถาที่เป็นสัญญาลักษณ์ของอียิปต์ และมีผ้าพันรอบตัวสีขาว เหมือนที่นิยมมาทำเป็นมัมมี่ ฟาโรห์ของอียิปต์เชื่อว่าโอซีริสคือต้นแบบของกษัติย์ จึงทำตามโอซีริสและคิดว่าตนจะมีชีวิตนิรันด์ ได้กลับมาจากโลกแห่งความตาย จึงสร้างสุสานไว้เก็บสมบัติใหญ่โต เผื่อว่าจะได้กลับมาใช้ ฉะนั้นหลุมศพจึงเหมือนเป็นโกดัง
ตำนานมีอยู่ว่า เทพโอซีริสซึ่งเป็นทั้งสามีและพี่ชายของเทพีไอซีสถูกเทพ Seth เซท(เทพแห่งหายนะและทะเลทราย) สังหารและหันเป็นชิ้นๆ ไอซีสเป็นผู้ตามหาชิ้นส่วนกลับมาและชุบชีวิตใหม่ให้เทพโอซีริส เทพีไอซีสยังเป็นมารดาของเทพโฮรัส (เทพแห่งความยุติธรรม มีหัวเป็นเหยี่ยว) ในสถานที่ที่มีภาพแกะสลักของเทพีไอซีส จะเห็นแกะเป็นท่ายื่นมือเหมือนพยุงเสมอ ซึ่งหมายถึงการปกป้อง อุ้มชู เทพีไอซีสได้รับการบูชาอย่างแพร่หลายโดยทั้งชาวนูเบียนและอียิปต์
ภายหลังเมื่ออียิปต์ไม่ได้นับถือเทพเจ้าในช่วงหลังพระเจ้าคอนสแตนตินเรืองอำนาจ ซึ่งศาสนาคริสได้เข้ามามีบทบาทในอียิปต์ ชาวคริสในยุคนั้นได้ขุดทำลายบางส่วนของกำแพงในวิหารนี้เพื่อใส่สัญญาลักษณ์ของคริสศาสนาลงไปแทนที่ มีวิหารหลายแห่งในอียิปต์ที่เป็นแบบนี้ เพราะในเมื่อลัทธิบูชาเทพได้หมดไปจากอียิปต์ในช่วงต้นคริสศักราช วิหารจึงไม่ได้มีความหมายอีก และจะเสียเวลาสร้างวิหารใหม่ทำไม ก็แค่ลบของเก่าออกแล้วใส่สัญญาลักษณ์ใหม่เข้าไปก็ได้แล้ว เราจึงได้เห็นว่าวิหารหลายแห่ง ถูกทิ้งร้างให้ทรายกลบทับไว้กว่าพันปี เนื่องจากการนับถือศาสนาใหม่ หรือการเปลี่ยนเส้นทางเดินของแม่น้ำไนล์ ซึ่งเปลี่ยนทุกปี ทำให้ชาวบ้านที่ใช้ชีวิตอยู่ตามแม่น้ำย้ายตามแม่น้ำไปจนทิ้งบ้านเมืองไป เส้นทางของแม่น้ำไนล์หยุดเปลี่ยนหลังจากที่มีการสร้างเขื่อนอัสวาน
พูดถึงเรื่องชนชาติ ที่เมืองนี้เราเจอชาวนูเบียนเป็นครั้งแรก จากการลงเรือไปชมวิหาร Philae กิจการเรือท่องเที่ยวถือเป็นอาชีพสงวนของชนท้องถิ่นที่เป็นชาวนูเบียนเท่านั้น ชาวนูเบียนเป็นชนเผ่าแอฟริกาที่ย้ายถิ่นฐานเข้ามารับใช้ชาวอียิปต์ตั้งแต่ยุคโบราณ แต่เขาจะไม่ปะปนกับชนกลุ่มอื่น การแต่งตัวมีเอกลักษณ์ และยังคงพูดภาษาของตนเองจนถึงปัจจุปัน หลายคนสงสัยเรื่องชาวอียิปต์ว่าหน้าตาเป็นอย่างไร อันที่จริงชาวอียิปต์ดั่งเดิมนั้นไม่มีให้เห็นแล้วในปัจจุปัน เพราะได้ผ่านการแต่งงานผสมกับชนชาติต่างๆที่เข้ามาปกครองอียิตป์ในช่วงกว่า 2,500ปีที่ผ่านมา เห็นว่าชาวอียิปต์โบราณน่าจะตัวเล็กและมีผิวคล้ำ จนถึงยุคที่กรีกเข้ามาปกครองซึ่งเป็นราชวงศ์ Ptolemy ของพระนางคลีโอพัตราที่มีต้นราชวงศ์เป็นนายทหารเอกของอเล็กแซนดร้ามหาราชนี้แหละที่ชาวอียิปต์เริ่มผสมกับชาวกรีก ชาวโรมัน และอาหรับซึ่งบุกรุกและผลัดกันปกครองอียิปต์ต่อมานับจากนั้นก็ผสมกันต่อไปอีก ปัจจุปันชาวอียิปต์จะหน้าตาเหมือนอาหรับทั่วไป
Abu Simbel
อาบูซิมเบลจะสวยที่สุดในช่วงเวลาเช้าที่แสงส่องเป็นแนวเฉียงเข้าไปในวิหาร เราจึงต้องตื่นแต่เช้าตี 4 เพื่อนนั่งรถจากอัสวานไปอาบูซิมเบล แต่เมื่อเราไปถึงฝูงชนก็ไล่ตามกันมาแล้วเหมือนกัน ใครจะไปก็ออกเช้ากว่านี้ก็ได้นะ วิหารอาบูซิมเบลถือเป็นวิหารที่เป็นเอกลักษณ์ของอียิปต์ที่สุด และตั้งอยู่ใกล้กับชายแดนซูดานมาก ปัจจุปันอยู่บนชายฝั่งตะวันตกของทะเลสาบเนเซอร์ Lake Nasser เป็นวิหารที่ยูเนสโก้ขึ้นเป็นมรดกโลก วิหารเดิมเอาไว้บูชาเทพเจ้าอยู่แล้ว จึงมีขนาดใหญ่โตมาก ภาพแกะสลักมีความสูงเท่าคนจริง เราจะเห็นภาพทาสนูเบียนที่ประตูทางเขาด้วย ชาวอียิปต์ชอบแกะสลักรูปสัตว์ ดอกไม้ ต้นไม้ เครื่องหอม ทาส ทหาร ฯลฯ เพื่อเป็นการสักการะเทพ ว่ากันว่าที่ชื่อ Abu Simbel มาจากชื่อของเด็กชายที่พานักผจญภัยชาวอิตาเลียนไปในตอนแรกในช่วงศตวรรษที่ 19 แม้เขาจะขุดดลงไปไม่ได้ เพราะมีแค่เฉพาะส่วนแหลมสุดของศรีษะอนุเสาวรีย์โพล่มาเท่านั้น (มันสูงถึง 30เมตร) แต่เขาได้เอาข่าวให้กับกลุ่มนักค้นหาสมบัติชาวสวิสซึ่งได้ระดมทุนและคนงานมาขุดจนเจอในอีกกว่า 10ปีต่อมา โดยการนำของเด็กชายคนเดิมพาไปชี้จุด
เนื่องจากถูกย้ายจากจุดเดิมที่ต้องถูกปล่อยจมน้ำไปจากการสร้างเขื่อนเนเซอร์ ซึ่งทำให้อียิปต์มีน้ำใช้ตลอดปี และลดปัญหาเรื่องน้ำท่วมจากแม่น้ำไนล์ที่ต้องประสบมากว่าพันปี การก่อสร้างได้ทุนจากนานาชาติในการช่วยเหลือด้านการเงินและเทคนิคเพื่อรักษามรดกของมนุษยชาติ โดยใช้เวลาเคลื่อนย้ายถึง 4ปี (1964-1968) และเงินทุนกว่า 40ล้านเหรียญในยุคนั้นถือว่าเยอะมาก ถ้าเทียบเงินปัจจุปันก็ 300ล้านเหรียญสหรัฐ
ตามประวัติวิหารอาบูซิมเบลใช้เวลาก่อสร้าง 20ปีโดย Pharoe Ramesses II ฟาโรห์แรมซิสที่ 2 แห่งราชวงศ์ที่ 19 ราว 1,265ปีก่อนคริสตกาล เพื่อบูชาเทพอมุนรา (เทพแห่งพระอาทิย์) โดยฟาโรห์แรมซิสที่ 2 ทรงให้แกะสลักรูปของตนเองเคียงบ่าเคียงไหล่กับทวยเทพ จุดเด่นของวิหารนี้อยู่ตรงที่การวางทิศของประตูเข้าวิหารให้หันไปทางตะวันออก เวลาที่อาทิตย์ส่องเข้า แสงจะส่องไปถึงรูปสลักของเทพต่างๆยกเว้น Ptah ซึ่งเป็นเทพแห่งโลกหลังความตายในวิหารที่ให้คงไว้ในเงามืด ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ และ วันที่ 21 ตุลาคม ของทุกปีซึ่งตรงกับวันเกิดและวันขึ้นครองราช์ยของฟาโรห์แรมซิสที่ 2 แสงแรกจะส่องเข้ามาตรงจุดที่รูปปั้นของฟาโรห์แรมซิสที่ 2 และเทพอมุนราตั้งอยู่
จิตกรรมฝาผนังในวิหารนี้สวยงามควรค่าที่จะต้องซื้อบัตรถ่ายรูปเพิ่มเติม สถานที่เยี่ยมชมต่างๆของอียิปต์มักต้องซื้อบัตรถ่ายรูปเพิ่มเติมสำหรับคนที่อยากถ่าย ข้อนี้เป็นสิ่งที่หลายคนคิดเห็นไม่ตรงกันว่าควรรวมไม่ควรรวม แต่ก็ดีเพราะพื้นที่คับแคบถ้าถ่ายกันทุกคนก็คงแน่นกว่านี้ เพราะใช้เวลานานกว่า แต่ที่น่าเบื่อคือคนที่เฝ้าสุสานจะสนใจแต่การตามจับคนที่ไม่ได้ซื้อบัตรถ่ายรูปและคอยตะโกนห้ามถ่ายกันจนเสียบรรยกาศไปหมด แต่จะว่าไปภายในถ่ายรูปยากมาก คนเยอะและค่อนข้างมืด
Nile Cruise
การเที่ยวอียิปต์ตอนกลาง นิยมล่องเรือในแม่น้ำไนล์ นักท่องเที่ยวจะค้างแรมบนเรือสำราญโดยเรือแต่ละลำมีห้องอยู่ 50-100 ห้อง และมีร้านอาหาร สระว่ายน้ำ ที่ออกกำลังกาย สปา โซนอาบแดดและร้านค้า ปัจจุปันมี nile cruise ถึงกว่า 300ลำ บนแม่น้ำไนล์ (อ่านและชมรูปสองข้างแม่น้ำไนล์เพิ่มเติม https://www.gooutseeworld.com/post/nilecruise)
เย็นวันนั้นเรือเราได้เทียบท่าไปเยี่ยมวิหาร Kom Ombo ที่ตั้งอยู่ข้างแม่น้ำไนล์ แม้จะเป็นเวลา5โมงเย็นแต่มืดมากแล้วในช่วงฤดูหนาว เมืองนี้ไม่ได้เงียบอะไรเพราะเป็นเมืองท่องเที่ยวมีคนขายของเยอะมาก และตามเซ่าซี้มาก เราต้องทำตามธรรมเนียมคือไม่สบตาคนขาย ไม่งั้นจะโดนตอมไม่หยุด ซึ่งน่าเสียดายถ้าเขาไม่ใช้วิธีตื้อลูกค้ามากไปแบบนี้ อาจได้คนที่เข้าไปเดินดูสินค้าหน่อย นักท่องเที่ยวทุกคนเหมือนโดนสอนมาพยายามเดินก้มหน้าก้มตากัน